Search

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

Big boy B boy




เปิดศักราชกลับมารีวิวหนังอีกทีใน POPpaganda ก็เริ่มที่หนังไทยกันเลย จะเป็นไรไปล่ะ ถ้าหนังไทยเรื่องนั้นมีหน้าหนังที่น่าดู เราก็ควรจะสนับสนุนหนังของชาติเรากันเอง ดีกว่าที่จะตะพึดตะพือดูหนังต่างชาติที่ขอให้เป็นเรื่องสัตว์ประหลาด ภัยธรรมชาติ ก็ขอเข้าไปตีตั๋วดูไว้ก่อนใช่ไหม


ได้ยินชื่อหนัง Big Boy ตอนแรกก็อยากดูขึ้นมาทันที ไม่ได้ทะลึ่งอะไรนะ คือส่วนตัวชอบหนังร้องหนังเต้น และก็พอจะรู้มาว่าหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเต้นบีบอย ก็รู้สึกชื่นชมที่เอาคำมาเล่นเป็น B = Big และมีพล็อทในหนังที่เป็นเรื่อง coming of age ของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่เพียงแต่แค่วัยรุ่นก้าวข้ามมามีความคิดที่โตขึ้น แต่ถ้าได้ดูตัวอย่างหนังก็จะเห็นว่ายังซ้อนทับด้วยการเล่นเรื่องความไม่ลงรอยกันของหลานกับปู่ (ที่ก็ไม่ยอมแก่ซักทีเหมือนกัน)


ต้องยอมรับว่าดูแล้วก็ไม่ได้เป็นหนังไทยที่เลวร้ายหลอกลวงแบบหน้าหนังดี แต่ดูเสร็จแล้วอยากขอยลหนังหน้าผู้กำกับใกล้ๆ Big Boy ตรงกันข้าม–มีในสิ่งที่หนังไทยส่วนใหญ่ขาด และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดคือบท บทภาพยนตร์ของ Big Boy เป็นบทสนทนาที่สมจริง เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ไม่เสแสร้ง เป็นธรรมชาติขนาดที่บางประโยคก็แอบขำๆ ว่าเออ-ชั้นก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ส่วนการเล่าเรื่องก็ดูมีลูกเล่นดี ทำให้มีความน่าสนใจ อีกอย่างที่เด่นก็คือการถ่ายภาพที่ไม่มากไม่มายแต่เน้นสไตล์ ก็คงเป็นเพราะพื้นฐานในการทำเอ็มวีของ มณฑล อารยางกูร นั่นแหละ ทำให้หนังออกมาดูแพง ทั้งที่ไม่ต้องมีเซ็ตติ้ง มีเดคอเรชั่นอะไรมาก แน่นอนว่าการมีอิทธิพลด้านภาพในหนังบางเรื่องและเอ็มวีบางเพลงของต่างประเทศก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้

แต่เรื่องที่เข้าใจไม่ได้คือการเลือกเพลงประกอบที่เอา Hush Hush, Hush Hush มาใช้เป็นเพลงเด่น ก็ดูขัดๆ ตั้งแต่ในตัวอย่าง จะว่าเอาไว้ดึงพวกเก้งปูก็จงใจไปนิดไหม ยิ่งในหนังตอนที่โคโยตี้เปิดเพลงนี้ให้ปู่เต้นกะหลานในลานจอดก็เป็นฉากที่อิหลักอิเหลื่อของหนัง ไม่มียังจะดีกว่า แล้วเพลงฮิพฮ็อพที่เอามาใช้ก็ไม่รู้ว่าติดเรื่องลิขสิทธิ์รึเปล่า ถ้าใช่ก็โอเค ถ้าไม่ใช่ก็ควรเลือกเพลงให้โดนกว่านี้ ฮิพฮ็อพดังๆ มีตั้งเป็นกระบุง

ไหนก็เรื่องเพลงแล้ว มาถึงท่าเต้นที่ถ้าเทียบกับหนังที่เน้นเรื่องเต้นอย่าง Step up ก็ต้องถือว่าเรื่องนั้นนำหน้าอยู่หลายรอบ ท่าเต้นในหนัง Big Boy ไม่ได้สร้างเสียงวู้วให้ซักนิด ทำให้ในฉากที่ควรจะเอิบอิ่มด้วยท่าเต้นก็เป็นแค่งั้นๆ เหมือนกำลังจะร้องกรี๊ดแต่มีคนเอามืออุดปากก่อน

ทีนี้มาดูส่วนที่แข็งของหนัง คือการแสดง ยอมรับว่าทั้งนักแสดงรุ่นเก่าอย่างอา ต้อย-เศรษฐา และรุ่นใหม่อย่าง โทนี่ รากแก่น เอาหนังอยู่ทั้งเรื่อง คนแรกนี่ไม่ต้องพูดถึงความเก๋า อาต้อยทั้งเต้นทั้งเล่นหนังเรื่องนี้แบบเข้าใจบท และถ้าเรียกว่าตีบทแตกก็ไม่เกินจริงมากนัก
ส่วนน้องโทนี่ ไม่ใช่ว่าปลื้มอะไรส่วนตัว แต่เคยเจอตัวจริงน้องเค้าแล้วก็เคยนึกไว้ว่าเด็กคนนี้ยังไงก็ดัง จะดังมากๆ ด้วย (นี่ไม่รวมที่เคยไปตัดผมกับน้องเค้าแล้ว เค้าตัดผมแบบตั้งใจมาก) นี่เป็นหนังเรื่องแรกและทำท่าว่าจะแจ้งเกิดในวงกว้าง เราก็ควรจะดูให้รู้ว่าเล่นดีหรือเล่นไม่ดี และโทนี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเค้ามีทักษะทางด้านแอ็คติ้งแบบถ้าเอาจริงขึ้นมาก็น่าจะทางสว่างไสว
น้องนางเอกใหม่ เพชร-รัตนารัตน์ เอื้อทวีกุล ก็นอกจากจะหน้าเก๋แล้ว ก็ยังแสดงได้ธรรมชาติเท่าที่บทจะเอื้อให้ แล้วนิดนึงนะ คือว่าพระนางสองคนนี้ดูกล้องจะรักเอามากๆ จับมุมไหนภาพบนจอก็น่าดูไปหมด
Big Boy โดยรวมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นี่พูดจริงนะ เป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องที่ดูแล้วไม่มีรู้สึก “อะไรฟระ เมื่อไหร่จะจบ หลงเข้ามาดูเพื่อ” ในความเป็นสากลของหนังน่าจะขายคนต่างชาติได้ด้วย ถ้าเติมในส่วนของท่าเต้น เพลง ให้ครบ ก็คงจะบอกต่อดังๆ ได้ว่า “ต้องดูนะ ห้ามพลาด” แต่ตอนนี้แค่ไปดู อาต้อย น้องโทนี่ และหนังไทยดีๆ เรื่องนึงก็น่าจะโอเคแล้ว โตแล้วแต่ยังโตไม่เต็มที่ เอาไปสามดาว
ถ้ามีภาคสองแล้วทุกส่วนเพอร์เฟ็คท์กว่านี้ หาเพื่อนพระเอกให้หล่อกว่านี้ (ไม่ต้องกลัวมาแย่งความเด่นน้องเค้าหรอก) จะสอยดาวมาให้เพิ่ม

http://www.poppaganda.net/reviews/107

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12 พฤษภาคม 2553 เวลา 06:39

    ชื่อเพลงที่ใช้แสดงในหนังชื่อเพลงไรหรอคราบ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ21 กรกฎาคม 2553 เวลา 18:48

    สุดยอดครับ
    ขนาดผมที่เป็นบีบอยยังชอบดูเลย
    การเต้นมันเหมือนความฝันของคนครับ
    ผมก้อชอบเต้นเอาไว้ออกแข่งแล้วก้อเต้นโชว์งาน

    ตอบลบ