Search

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิจารณ์ Spoil องค์บาก 3

เรื่องนี้ขออนุญาตหาข้อมูลที่ Spoil มาให้เลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเนื่อเรื่องมันก็ไม่มีอะไรให้ สปอยล์มากอยู่แล้ว


+++ Spoil & Review องค์บาก 3 : เสนห์ที่ขาดหายไป +++
หากเอ่ยถึงชื่อของ จา พนม แล้วนั้น ทุกคนต้องนึกถึงหนังแอ็คชั่น เจ้าของสโลแกน ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สตั้นท์ และฉากแอ็คชั่นมันส์กันทั้งเรื่องอย่างแน่นอน และนี่คือจุดขายของภาพยนต์ทุกเรื่องของจา พนม ครับ แต่สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงต่อจากนี้นั้น อาจขัดใจแฟนๆของจา พนม บ้างก็ต้องขออภัยไว้ก่อน

สิ่งแรกที่อยากจะพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นของบทหนังที่ขาดความสมเหตุสมผล อ๊ะ พอมาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจค้านแล้วว่า “มันก็หนังแอ็คชั่น จะเอาอะไรนักหนา” ใช่ครับ มันคือหนังแอ็คชั่นที่ความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจในรายละเอียดของบทหนังมากเกินไปนัก ผมอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ด้วยเสียงวิจารณ์และความกดดันที่ได้รับจากสื่อและคนดูต่างๆจากหนังเรื่อง “องค์บาก” และ “ต้มยำกุ้ง” ที่หลายคนยังจำได้ดีถึงการตามหาคน สัตว์ สิ่งของ ที่มีประโยคเด็ดอย่าง “ช้างตูอยู่ไหน? ”นั่นเองที่ทำให้ตัวหนังองค์บาก 2 และ 3 พยายามที่จะให้ความสำคัญกับตัวบทมากขึ้น เพิ่มความเป็นดราม่าให้กับตัวละคร ซึ่งผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่นั้นเข้าไม่ได้ต้องการที่จะเห็นในจุดนี้หรอกแต่มีบ้างก็ดี แต่ก็นั่นอีกล่ะครับ

1.ถ้าตัดรายละเอียดของบททิ้งไป = เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเลย แม่ม สู้กันทั้งเริ่อง สาดดดดด!!!

2.มีบทและรายละเอียด มีความเป็นดราม่า = บทห่วย เสียเวลา สู้กันนิดเดียวเอง

นี่ไงครับคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ซึ่งจา พนมและทีมงานต้องหาความพอดีของมันให้ได้ สังเกตง่ายๆจากหนังของเฉินหลง ที่ตัวบทในแต่ละเรื่องค่อนข้างเรียบง่าย พระเอกเป็นตำรวจ เป็นกุ้ก เป็นนักล่าสมบัติ ซะส่วนใหญ่ ซึ่งถามว่าบทดีมั้ย ไม่ครับ ไม่ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป มีความผสมผสานกันอย่างลงตัวในรายละเอียดของตัวบท ดูสมเหตุสมผลในตัวละครกับบท ผมอยากให้จา พนม กลับไปสู่พื้นฐานคือใช้บทที่เรียบง่าย ผสมผสานกับนักแสดงที่ช่วยส่งเสริมในการรับภาระเรื่องบทหรือฉากตลกอย่าง หม่ำ ในองค์บากภาคแรก เพราะโดยตัวจาเองนั้น ไม่สามารถเล่นแอ็คชั่น-คอมมาดี้ แบบเฉินหลงได้ด้วยตัวเอง จำต้องมีคนคอยชงให้ ดังนั้นควรมอบภาระในเรื่องตลกหรือเรื่องบทดราม่าให้กับนักแสดงท่านอื่นแทนครับ

สิ่งที่สำคัญในรายละเอียดของหนังที่ถูกพูดถึงและหายไปคือ

1.ฉากประหารที่อยู่ดีๆก็มีม้าเร็วมาอ้างถึงกษัตย์แห่งอโยธยาใหรับตัวเทียนไปนั้น คือใคร รับไปทำไม มีเหตุผลอะไรเหรอ? พอถูกฆ่าตายทุกอย่างก็หายไปด้วย

2.ฉากที่เทียนหยั่งรู้สัจธรรมแล้วมีแสงสว่างบังเกิดขึ้น พวกทหารจะล้มสลบกันไปทำไม เป็นลมแดดเรอะ!!

3.ในองค์บากภาคแรก มีการพูดถึงพระพุทธรูปองค์บากที่ตำนานและประโยคว่า “แค่ครูมวยคนนึงไปต่อสู้เพื่อทวงองค์บากคืนจากพวกพม่า จะอะไรนักหนา” ประมาณนี้ คนพูดคือบักดอน ที่ขโมยองค์บากไป สรุปแล้วมันเรื่องเดียวกันมั้ยเนี่ย

4.แล้วก็เช่นกัน พระพุทธรูปอง์บากในภาค 3 เป็นโลหะหรือทองสัมฤทธิ์ (มั้ง) แต่ในภาคแรกกลายเป็นเป็นปูน ซึ่งอันนี้พออนุมานได้ว่าเป็นคนละองค์กัน เช่นเมื่อเป็นที่เคารพก็มีการสร้างอีกเยอะมากเพื่อนำไปบูชา




อย่างที่ 2 ฉากแอ็คชั่น

ในมุมมองของผมองค์บาก 3 มีสัดส่วนของบทอยู่ที่ 60% และฉากแอ็คชั่นเพียง 40% เท่านั้น หลายท่านอาจบอกว่า “ก็ฉากแอ็คชั่นไปอยู่ในองค์บาก 2 แล้วไงล่ะ” ก็ถูกอีกนั่นล่ะครับ แต่ถ้ามีความตังใจที่จะสร้างเป็น 2 และ 3 ก็ควรที่จะแบ่งให้มันดูสมดุลกันมากกว่านี้ พูดถึงฉากแอ็คชั่น จา พนมและพันนา ต้องการให้มีความแตกต่างและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จาก

-องค์บาก = มวยไทยโบราณ

-ต้มยำกุ้ง = มวยคชสาร (รึเปล่า) ทุ่ม ทับ จับ หัก

-องค์บาก 2 = มวยไทย มวยจีน ดาบ หอก โซ่ กระบี่ กระบอก

-องค์บาก 3 = นาฎยุทธ (มวยท่ารำ)


จะเห็นได้ว่าในแต่ละเรื่องนั้นมีการต่อสู้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละ ในมุมมองผมคือยิ่งทำให้เสน่ห์ในความเป็นไทยเหลือน้อยลงทุกที ด้วยเหตุผลที่ว่า อย่างในต้มยำกุ้งนั้น การหักกระดูกนั้นไม่ได้ต่างจากหนังเกรดบีของ สตีเว่น ซีกัล เลย ถึงแม้เราจะสวยงามกว่าก็ตาม พอมาถึงองค์บาก 2 การรำมวยจีน กระบี่ กระบอง การใช้โซ่ หรือหอกนั้น ผมเข้าใจในตัวหนังนะที่ว่าต้องการสื่อให้เห็นถึงคนคนนึงที่ใช้ศิลปะการต่อสู้ได้ทุกแขนง อันนี้ไม่ว่ากัน แต่นักแสดงชาติอื่นก็ทำได้ แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีนักแสดงชาติใดหรือหนังเรื่องใดในโลกมีก็คือ “มวยไทย” ครับ จา พนมคือคนเดียวและเป็นสิ่งที่ทำให้คุณโด่งดังไปทั้งโลก และล่าสุดกับองค์บาก 3 นี้ที่มีการประยุคในในส่วนของท่ารำเป็นท่ามวย ถามผมว่าแปลกมั้ย? ตอบได้ว่าแปลกมากๆๆ แต่ถ้าถามผมว่าสวยมั้ย? เอ่อ อันนี้เริ่มไม่มั่นใจเท่าไหร่ และถ้าถามว่าว่ารู้สึกอย่างไร ผมจะขอบอกเป็นข้อๆเลยละกัน

1.ท่าทางมันดูตลกเป็นบ้าเลยครับ กางแขนสองข้างและกำหมัด เดพาเหรดขาตรงอย่างกับหุ่นยนต์อ่ะ แข็งทื่อเลย

2.ท่าต่อสู้มันดูไม่สมจริงและบอกได้ว่าไม่เชื่อครับ มันจะรุนแรงอย่างนั้นเชียว

3.การใช้ฝ่ามือปัดป้องและโจมตี พอเดาได้จากหลัก “มวยหย่งชุน” ที่ใช้อ่อนสยบแข็ง ใช้แรงคู่ต่อสู้กลับมาโจมตีตนเอง

4.ถ้าผมเป็น “เดียว ชูพงศ์” ผมคงถามคำเดียวว่า “เมิงจะนวดหน้าตูทำไม ตบเอาหน้าเด้งเหรอ”

โดยรวมฉากแอ็คชั่นมีการโชว์เทพและผ่อนแรงของจา พนมไปได้เยอะ เชื่อว่าไม่เหนื่อย ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องใช้สลิงหรือสตันท์แน่นอน (จะใช้ทำไมเพราะไม่มีใครเตะตัวมันได้เลย) แต่ถามว่ามีฉากสวยๆมั้ย มีครับ โดยเฉพาะฉากต่อสู้บนหลังช้างที่สวยงามเอามากๆครับ โดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางอากาศ

สุดท้ายที่อยากเอ่ยคือ “คุณจา พนมครับ กล้ามแขน ขา อก ท้องและหลัง คุณหายไปไหนหมดครับ หาแทบไม่ได้เลย”



ส่วนประกอบอื่นๆนั่นไม่มีอะไรต้องพูดถึงมากมายเพราะถ่าไม่นับว่านักแสดงท่านอื่นเป็นดาราแล้วนั้น นั่นก็คือตัวประกอบดีๆนี่เอง

-หม่ำ ยังคงรียกเสียงหัวเราะได้ทุกครั้งที่ออกมา แม้จะไม่มีบทมากก็ตาม

-จ๊ะจ๋า สวยครับ -_-‘ พยายามจะเอาฮากับ น้อย...นอย..น่อย...น้อย ใช่มั้ย เห็นคนฮากันทั้งโรงหนัง

-อาหนิง ยังคงมาดดีอยู่ตลอดแม้จะเป็นพระก็ตามเหอะ

โดยรวมตัวหนังไม่ถึงกับแย่มากแต่อาจผิดหวังสำหรับคนที่คาดหวังไว้สูง หนังยังคงมีฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ สวยๆ มีตลกบ้างสลับกับดราม่า แต่อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ยังเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ ยังไงก็ยังทำเงินอยู่ดี และในอนาคต ถ้าจะมีองค์บาก 4 หรือเรื่องอื่นๆของจา พนม ผมก็ยังมั่นใจว่าคนก็ยังคงดูกันต่อไป รวมถึงผมด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงคิดถึงแม้ไม้มวยไทยที่รุนแรงและดุเดือด สวยงาม ในองค์บาก 1 อยู่ดี อย่าลืมนะครับว่า เฉินหลงสามารถสร้างชื่อและหากินได้ตลอดชีวิตด้วยมวยจีนของเค้า เจ็ท ลี ก็เช่นกัน แล้วทำไมจา พนม ไม่ใช้มวยไทยนี้ที่เคยสร้างชื่อให้คุณ ต่อยอดและสร้างความสำร็จอย่างต่อเนื่องในระดับโลกล่ะครับ มวยไทยมีคุณคนเดียวที่ทำได้ ไม่มีซ้ำใครแน่นอนครับ

ขอบคุณครับ

บทวิจารณ์และ สปอยล์โดย SeaFreeman








เพิ่มเติมข้อมูลครับ

โดย น้องจั้ง

หลังจากเคยเล่าให้ฟังว่า องค์บาก 3 จริงๆ แล้วโดยตัวมันเองเป็นหนังเฉพาะกลุ่ม เนื้อหนังและวิธีการนำเสนอนั้นจัดว่าเป็นหนังแนวมาเชียลอาร์ตโบราณ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้อาจไม่ถูกใจมหาชน เพราะหนังแนวนี้ถือว่าเอาต์ไปนานแล้ว แต่สำหรับคอหนังที่คลั่งไคล้แนวกำลังภายในถือว่าหนังเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ไม่ได้ลวก ไม่ได้เลวทราม แต่ก็ไม่ได้ดีเยี่ยม อ่านตัวเต็มได้ที่นี่http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9228404/A9228404.html

มาคราวนี้ อยากคุยถึงบางประเด็นที่อยากชมเชยในความพยายามบางอย่างสำหรับองค์บาก 3 ...โดยคุยแบบคนที่ชอบหนังแนวกำลังภายในนะครับ

หากจำกันได้ราวสิบกว่าปีก่อน(มั้งผมขี้เกียจค้นวิกิพิเดียนะ) มีหนังเรื่องหนึ่งของ ฉีเคอะ คือเรื่องเดชไอ้ด้วน แขนหลุดไม่หยุดแค้น ผมดูองค์บาก 3 แล้วนึกถึงหนังเรื่องนี้ในบางประเด็น ดังนี้

1. ในเรื่องเดชไอ้ด้วนแขนหลุดไม่หยุดแค้น ถูกฉีเคอะสร้างขึ้นโดยกระแสของหนังกำลังภายในยุคนั้นกำลังถึงช่วงตันอีกครั้งหนึ่ง หากยุคชอว์ บราเทอร์คือยุคทองของหนังกำลังภายใน ยุคหนังกังฟู(ทำนองไอ้หนุ่มหมัดเมา ไอ้หนุ่มนั่น ไอ้หนุ่มนี่) ก็เป็นวิวัฒนาการหนึ่งของหนังมาเชียล อาร์ต ผู้บุกเบิกคือ บรูซ ลี และมาถึงยุคทองของ เฉินหลง หยวนเปียว หงจินเป่า หลังจากยุคกังฟู หนังมาเชียลอาร์ต(สายฮ่องกง ไต้หวัน) ก็แตกออกไปเป็นสองไลน์ ไลน์หนึ่งคือดึงกลับมายุคปัจจุบันทำหนังให้ทันสมัยขึ้น คิวบู๊ต่อเนื่องขึ้นผู้บุกเบิกคือ เฉินหลง กับหนังตระกูลฟัด อีกไลน์หนึ่งคือ หนังกำลังภายในที่ถูกสร้างด้วยโปรดักชั่นที่ดีขึ้น ฉาก เสื้อผ้า ทำให้สมจริงตามประวัติศาสตร์ ผู้บุกเบิกยุคนั้นคือ ฉีเคอะ ด้วยโปรเจค์ เดชคัมภีร์เทวดา.....

การแตกออกทั้งสองไลน์สร้างคุณูปการให้หนังมาเชียลอาร์ต ยืนยาวต่อมาได้แม้จะหมดยุคทองของชอว์ บราเทอร์แล้ว ผมจำประโยคหนึ่งได้ ตอนที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์วู้ดดี้(เทปนี้วู้ดดี้สัมภาษณ์เฉินหลงถึงฮ่องกง) วู้ดดี้ถามว่าคิดยังไงกับจา พนม เฉินหลงตอบประมาณว่า “จา โชคดีมากเพราะเห็นมาหมดแล้ว ว่าหนังมาเชียลอาร์ตมีกี่แบบ แต่เราต้องค่อยๆ ทดลองทำ จากหนังกำลังภายใน ชักจะตันก็มาทำหนังแบบสมัยใหม่ แต่จาเค้าได้เห็นหมดแล้ว...”

หลายปีผ่านไป หนังตระกูลฟัดก็เริ่มถึงทางตันเหมือนกัน ไม่ได้เป็นหนังทำเงินถล่มทลายแล้ว อาจเป็นว่าเฉินหลงก็แก่ขึ้น (หลังจากช่วงนี้เฉินหลงก็พัฒนาการไปฮอลลีวู้ดสำเร็จ) ส่วนหนังกำลังภายใน แบบฉีเคอะที่แตกออกมาอีกไลน์หนึ่ง ก็ถึงทางตันเหมือนกัน เมื่อมีหนัง โหนสลิง ปล่อยพลังระเบิด ออกมาในยุคนั้นตามรอยเดชคัมภีร์เทวดาเต็มไปหมด บวกกับฮอลลีก้าวเข้าสู่ยุคซีจีเต็มรูปแบบกับจูราสสิคปาร์ค ทำให้ฉีเคอะต้องทำการ “สร้างยุทธภพ” สำหรับหนังกำลังภายในใหม่อีกครั้ง.....

หากในยุคชอว์ บราเทอร์ ยุทธภพถูกแสดงออกด้วยโปรดักชั่นที่ยังไม่แตกต่างจากละครเวที หรืองิ้วมากนัก
ยุคเดชคัมภีร์เทวดา คือการเติมเต็มด้านโปรดักชั่นและสเปเชี่ยลเอฟเฟคท์ แบบเหนือจริงเข้าไป
แล้วฉีเคอะก็สร้างยุทธภพใหม่อีกครั้ง ด้วย เดชไอ้ด้วนแขนหลุดไม่หยุดแค้น ..... แก่นแกนของหนังเต็มไปด้วยบทสนทนาของนางเอกที่เฝ้าถามกับตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่อง ยันจบว่า “อะไรคือยุทธภพ” ฉีเคอะได้ตอบสนองด้วยภาพของยุทธภพที่ไม่มีใครคาดหวังมาก่อน ภาพของยุทธภพที่ดิบ เถื่อน และเรียลลิสติก มากๆ เช่น พระยอดฝีมือก็ถูกนักเลงข้างถนน รุมอัดจนตายอย่างอนาถ ความโรแมนติคของสาเหตุของการแขนขาด ก็ปรับแต่งใหม่ให้พระเอกถูกกับดักแทน ภาพสาวชาวไร่ช่วยพระเอกแทนที่จะเป็นภาพสาวที่แสนสวย ก็เป็นสาวชาวไร่(ในยุคนั้น)ที่น่าจะเป็นในความเป็นจริงคือทั้งซอมซ่อด้วยความยากไร้ ทั้งอัปลักษณ์ ทุกคนในเรื่องต้องทำมาหากิน (สำนักพระเอกหากินด้วยการตีดาบ พระเอกตอนพิการแล้วต้องไปเป็นเด็กเสริฟ) การเลือกใช้ดาบครึ่งเล่มไม่ใช่เพราะเหตุผลโรแมนติคหรือศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นเพราะไม่มีเงินซื้อดาบปกติแบบชาวบ้านเค้า ฯลฯ

นี่คือความพยายามในการ “สร้างยุทธภพ” ใหม่อีกครั้งของฉีเคอะ ....แต่ผลลัพท์ของมันก็อย่างที่ทราบหนังไม่ได้รับการตอบรับในเชิงรายได้มากนัก ..... กลายเป็นว่าหลังจากนั้นหนังกำลังภายในแนวซีจี อย่างฟงหวิน หรือซูซันของฉีเคอะเองในภายหลังกลับได้รับการตอบรับมากกว่า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็ชื่นชมความพยายามในการสร้างยุทธภพอีกแบบของฉีเคอะ ในเดชไอ้ด้วน

2. ความพยายามสร้าง “ยุทธภพไทยๆ ขององค์บาก 2-3” อย่างที่เฉินหลงเคยบอก จาโชคดีที่ทำหนังในยุคนี้ เมื่อคนทำหนังมาเชี่ยลอาร์ต ได้ทดลองสร้างมาหลาย ๆ แบบแล้ว จาก็น่าจะสร้างหนังได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกอีก ก็ถูก หนังอย่างองค์บาก 1 หรือ ต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีหนังตระกูลฟัด เป็นแบบอย่างหรือเคยบุกเบิกตลาดมาก่อน แต่สำหรับองค์บาก 2-3 นั้น จากลับต้องสร้างยุทธภพไทย ๆ ที่ไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน....

เป็นภาระที่หนักพอๆกับที่ฉีเคอะต้องสร้างยุทธภพใหม่ครั้งแรกสำหรับ เดชคัมภีร์เทวดา ครั้งที่สองกับ เดชไอ้ด้วน หรือครั้งที่สามยุทธภพ(เทวดา)แบบซีจีสำหรับเทพยุทธซูซัน ยิ่งไม่นับว่า เดชคัมภีร์เทวดานั้นสร้างบนฐานของนิยายกำลังภายในของกิมย้ง(กระบี่เย้ยยุทธจักร) เดชไอ้ด้วนคือการรีเมกหนังยุคชอว์ บราเทอร์(ถ้าจำไม่ผิดเวอร์ชั่นชอว์ฯ กำกับโดยจางเชอะ หวังยู่แสดงนำ) และซูซันก็เป็นการรีเมกเหมือนกัน แต่องค์บาก 2-3 นั้นต้อง “ปั้นยุทธภพไทย” ขึ้นมาจาก ศูนย์เลยทีเดียว

เนื้อเรื่องอาจได้แรงบันดาลใจจากหนังมาเชียลอาร์ตโบราณได้ แต่ต้องปรับให้เข้ากับบริบทไทยๆ ศาสตร์ ปรัชญาในการต่อสู้ ต้องกลับมาค้นมรดกไทย แล้วสร้างมันขึ้นมาในหนังให้ได้ ..... ภาพยุทธภพขององค์บาก 2-3 ย้อนไปในประวัติศาสตร์ที่อโยธยาแผ่อำนาจไปทางตะวันออกติดชายแดนขอม ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหนักแน่นไม่ลอยละล่องไร้ที่มาที่ไป ทั้งรายละเอียดทางวัฒนธรรมที่นำเสนอแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะสร้าง “ยุทธภพไทยๆ” ให้ดีที่สุด สมจริงสมจังที่สุด (ส่วนท่านชมแล้วรู้สึกอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง-ฮา)

อยากเปรียบเทียบว่าการสร้างบริบทยุทธภพที่ไม่เคยมีมาก่อนให้ดู “เข้าท่า” นั้นยากอย่างยิ่ง เราคงนึกไม่ออกว่าถ้าเปลี่ยนจากยุทธภพจีนหรือไทยแบบที่เราเคยเห็นจากหนังจีนและองค์บาก 2-3 นั้น ลองเป็นยุทธภพอินเดีย ยุทธภพอาหรับ จะเป็นอย่างไร ? แล้วถ้าชาวอินเดียจะสร้างหนังจอมยุทธ์อินเดียมันจะยากแค่ไหน (เพราะเค้าไม่มีหนังจอมยุทธ์อินเดียโบราณเป็นต้นแบบให้มาพัฒนาต่อ)


ดังนั้นแม้ว่าองค์บาก 3 จะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศ แต่หากผมชื่นชมกับความพยายามในการสานต่อตำนานหนังมาเชียลอาร์ตของ ฉีเคอะ หรืออั้งลี หรือ จางอี้โหมว ผมคงต้องคาราวะให้จาพนมและพันนา ในการสร้างจุดเริ่มต้นของตำนานหนังมาเชียลอาร์ตไทย ๆ สำหรับองค์บาก 2-3 อย่างยิ่ง และเหนืออื่นใดขอคาราวะความกล้าที่จะทิ้งแนวทางที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองในองค์บาก 1 และต้มยำกุ้ง มาสร้างหนังเรื่องนี้

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 พฤษภาคม 2553 เวลา 03:05

    .....เสียงจากคนที่ดูมาครับ.....
    ผมคิดว่าหนังองค์บาก 3 ไม่น่าประทับใจสำหรับผมสักเท่าไรครับ
    เพราะดูมุมกล้องแล้วมันยังไม่ได้คับ...ยังดูขาดๆเกินๆ..การถ่ายทอดออกมายังไม่ได้อารมณ์ยังไม่ได้มุมสักเท่าไร
    เนื้อเรื่องก็ดูไม่เข้าใจ??????

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ12 พฤษภาคม 2553 เวลา 13:08

    ผมกลับเห็นว่า หนังเรื่ององค์บาก 2 และ 3 ไม่ได้ขายศิลปะการต่อสู้
    หากแต่เป็นการถ่ายทอดปรัชญาพุทธศาสนาผ่านศิลปะการร่ายรำ มวยนาฏยุทธ์ ซึ่งเราจะเห็นพัฒนาการของเทียน ตัวเอกของเรื่องที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงแต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เขาพ่าย คือ ใจตนเอง
    เพราะฉะนั้น มวยนาฏยุทธ์ที่เทียน ค้นพบ จะมีสองรูปลักษณ์คือ แข็งกร้าว ดุดัน และอ่อนช้อย งดงาม

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 พฤษภาคม 2553 เวลา 02:51

    มัน..ไม่ดูผู้บริโภคเลย..คนดูเห็นหน้าจา..พนมก็อยากให้ท่านบู๊แบบดุเดือดนั่นเป็นจุดขายของเขา..แต่เข้าใจว่ามีเรื่องของพุทธศาสนามาด้วยเนี๊ยมันทำยากแต่..หากดูให้ดีมันก็ต่างกันนะ..คือมันอยู่กับว่าคุณตีโจทย์ไปในทางไหนแต่.โดยรวมท่าการต่อสู้มันไม่โดนใจเลยแทนมันจะต้องสู้กับเดี่ยว๙พงศ์แบบ FAir ใส่กันเลยคือเราอยากเห็นอะ..เพราะต่างคนก็คิวบู๊เจ๋งอยู่แล้ว...ที่จริงทำเรื่องพระตากสินสไตล์จาพนมผมว่ารุ่งนะ..เอาจาพนมาแสดงเป็นพระพิชัยดาบหัก เอาพระเอกเรื่องพระนเรศวรมาแสดงเป็รน ร1. แล้วให้เดี่ยวชูพงศ์เป็นทหารอีกคนรู้สึกจะชื่อหมื่น สีหเดโชอะไรนี่แหละ..ไม่ก็เรื่องนายขนมต้มสิรับรองสนุกแน่ ..ให้จาพนมมันพระเอกแบบลูกทุ่ง เชิดชูประวัติศาสตร์ไทย เย้ แต่อย่างไงก็ไปดูคับหนังพี่จาอย่างผมไม่พลาดเป็นกำลังให้เด้อพี่น้องเด้อ

    ตอบลบ
  4. องค์บาก3เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของจาพนม บู๊สะใจ ตลกครบเครื่อง โรแมนติกอีกต่างหาก แต่ติดอยู่นิดเดียว องครักษ์ในภาค2 ที่ออกมาหลังจากจาสู้กับเดี่ยวหายไปไหน ใครทราบรบกวนตอบทีครับ ส่วนตัวชอบมาก ให้9.9เต็ม10

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ12 สิงหาคม 2553 เวลา 01:27

    ดูภาค 3 แล้ว เศร้าหนักกว่าภาค 2 อีกอะ เรียกได้ว่าถ้าใครดูหนังเป็นตีออกก็โชคดีไป แต่ส่วนใหญ่ จะเบื่อความยืดของมันเหลือเกิน บอกได้เลยว่าไม่มันเอาซะเลย จัดหมวดเป็นหนังพุทธ หรือ วีซีดี ธรรมะได้เลย ถ้าขายเข้าวัดอาจได้กำไลกว่านี้นะ จะได้กุศลอย่างที่สุด แต่สำหรับใครที่อยากดูความมัน ไปดู IP MAN ยังมันกว่าอีก หนังเรื่องนี้มาแรงจริงๆ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ9 กันยายน 2553 เวลา 06:45

    ผิดหวังกับหนังภาค3 ไม่คงความเป็นตัวของตัวเองแถมด้วย เรื่องยืดจนต้องหาว หลายรอบ หลับไปหลายงีบก่าหนังจะจบ แต่พอหนังจบกลับไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้บทสรุป เท่าที่ควร เฮ้อ...

    ตอบลบ