Search

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

A Brand New Life

A Brand New Life

หยุดคิด เพื่อชีวิตใหม่



กำกับ : Ounie Lecomte
นำแสดง :
Sae Ron Kim ... Jinhee
Do Yeon Park ... Sookhee
Ah-sung Ko ... Ye-shin
ความยาว : 92 นาที
ระดับความชอบ : 8.25/10

วันนี้ตั้งใจว่าจะไปขนของที่คอนโดเก่าใน RCA ไปถึงย่านนั้นก็นึกถึง House Rama เลยเปิดโปรแกรมหนังดู เห็นหนังเรื่องนี้ที่เพิ่งเข้า เป็นหนังสัญชาติเกาหลีครับ
ได้รางวัลที่เบอร์ลินมา และฉายโชว์ที่เมืองคานส์

เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้ เนื้อเรื่องดัดแปลงจากชีวิตจริงของเธอ

เปิดเรื่องมาก็แสดงให้เห็นความสดใสของสาวน้อยที่กำลังจะขึ้นปอสาม และความสัมพันธ์อันดีกับคุณพ่อ หนังพยายามจะบอกถึงความขัดสนของครอบครัวนี้ ทั้งยานพาหนะและการจับจ่ายข้าวของ
มีฉากที่เด็กน้อยร้องเพลงให้พ่อฟัง ช่างน่ารักเหลือเกิน

เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1975 คุณพ่อเอาเธอไปไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โดยไม่บอกความจริงใดๆ แต่กลับพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่และบอกว่าจะพาไปเที่ยว
แล้วคุณพ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย

เด็กน้อยไม่เคยเชื่อเลยว่าถูกทิ้ง หลายครั้งที่เธอพยายามติดต่อกับคุณพ่อแต่ไม่สำเร็จ
ปมที่เธอฝังใจว่าทำให้เธอต้องมาอยู่บ้านเด็กกำพร้าทั้งๆ ที่ไม่กำพร้าเพราะเข็มกลัด ที่แทงน้องเลี้ยงของเธอ โดยทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่เลี้ยง ต่างว่าเธอเป็นคนทำ และน้องก็เกือบตายเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น เรื่องทั้งหมดเล่าจากปากของเด็กน้อย

เมื่อกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ เธอจึงเลือกเกิดใหม่ โดยใช้สัญลักษณ์ที่นกตายแล้วถูกฝัง ก็จะไปเกิดใหม่ เธอจึงขุดหลุมฝังตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ลืมคุณพ่อไปเสีย แล้วเริ่มต้นใหม่กับครอบครัวที่พร้อมจะอุปการะในประเทศฝรั่งเศส
หนังสอนให้อยู่กับปัจจุบัน หากได้พยายามจะหาพ่ออย่างดีที่สุดแล้ว ก็ต้องปลง แล้วทำตัวเป็นเด็กกำพร้าและพร้อมจะไปอยู่กับครอบครัวใหม่ให้ได้ แม้จะยากลำบากแค่ไหน ก็ต้องทำใจให้ได้ นางเอกของเรายังทำได้เลย เก้าขวบเอง แถมเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิตที่เธอต้องลืม

หนังเดินเรื่องช้าๆ แต่ไม่น่าเบื่อ ออกจะลุ้นด้วยซ้ำว่าจะจบอย่างไร เนื่องจากมีข้อมูลเรื่องนี้น้อย หนังออกหม่นๆ เพราะเนื้อเรื่องก็ใช่จะรื่นรมย์มากนัก ยังนึกเลยว่าหนังฟิล์มนัวร์หรือเปล่าเนี่ย ไม่ค่อยมีสีสันเลย

ดาราเด็กเล่นดีมากครับ สื่ออารมณ์ทางแววตาได้เป็นอย่างดี
เพลงที่สาวน้อยร้องให้คุณพ่อฟังในตอนแรกนำมาเรียกความตื้นตันในตอนท้ายได้เป็นอย่างดี

หนังจบดี มีความสุขครับ

แอบคิดไปว่าหากเป็นเช่นนี้ สาวน้อยนางเอกของเรายังต้องคิดถึงคุณพ่อที่แท้จริงของเขาอีกไหม เพราะเขาเลือกเองที่จะทิ้ง
ในทางกลับกัน คุณพ่อคงมองแล้วว่าหากมาอยู่สถานที่นี้จะเป็นการดีในอนาคตสำหรับลูก แต่ก็น่าจะบอกความจริง ไม่ใช่มาปล่อยไว้แบบนี้ นี่ยังดีนะที่นางเอกหาทางออกในชีวิตได้

ดูจากเรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ดี ท่านผู้อำนวยการก็ทำตามที่นางเอกร้องขอ ไปหาคุณพ่อที่บ้านตามที่อยู่ แต่เขาย้ายบ้านไปแล้ว ก็นำความจริงมาบอกนางเอก ให้เธอได้ตัดสินใจ ดีกว่าคาใจไว้
ส่วนคุณแม่บ้านก็สอนดี โกรธอยู่ก็เอาไม้ตีผ้าห่ม จะได้ได้งานและทำให้ใจสงบลงด้วย

โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่คุณพ่อทิ้งลูก แม้ลูกจะไปได้ดี แต่เมื่อมองย้อนกลับมาเราได้ทำอะไรเพื่อเธอบ้าง นอกจากให้กำเนิดเธอมา
แล้วอนุสาวรีย์คนนี้เป็นตัวแทนของเราไหม? คุณพ่อคงต้องหาคำตอบเอง
ดังนั้นหากยังไม่พร้อม อย่ามีลูกเลยครับ เป็นบาปเปล่าๆ ถ้าเราเลี้ยงไม่ดี
แต่หากมีแล้ว ก็เลี้ยงให้ดีที่สุด เพราะเขาหรือเธอเปรียบเหมือนอนุสาวรีย์ของเราครับ

โอกาสเป็นอรหันต์ในบ้านอยู่แค่เอื้อม เมื่อเรามีลูกครับ

อย่าให้ลูกต้องเกิดใหม่ ใช้ชีวิตใหม่แบบไม่มีเรา เพราะไม่โชคดีเหมือนนางเอกในเรื่องนี้ทุกคนหรอกครับ

ขอชื่นชมเด็กน้อยที่คิดได้
ชื่นชมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่พยายามทำคนให้เป็นคน

ฉากร้องเพลงส่งเพื่อนที่มีคนมาอุปการะ ซึ้งดี
ฉากขอโทษที่พี่ใหญ่พยายามฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ดีครับ หากเราไม่รักตัวเรา แล้วใครจะรักล่ะครับ

หยุดคิดถึงอดีตและอยู่กับปัจจุบัน เป็นหนทางที่จะได้คำตอบในชีวิต
หนังเรื่องนี้บอกผมอย่างนี้

มีความสุขทุกคนครับ

ปล.โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ อีชางดอง (ผู้กำกับ Oasis และอดีต รมว.กระทรวงวัฒนธรรมของเกาหลี) มีหนังเรื่อง Oasis ในมือ เดี๋ยวลองดูดีกว่า

วิจารณ์โดย คนขับช้า

1 ความคิดเห็น: