Search
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิจารณ์ The Losers
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
3 ย่าน หนังที่เน้นความสัมพันธ์หญิงชาย
บทความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เมื่อได้ยินคำว่า 3 ย่าน หลายคนคงนึกไปถึงตลาดแถวจุฬา ซึ่งมีอาหารขึ้นชื่อที่ได้ยินเรื่อยมาคือ โจ๊ก หรือถ้าเข้าไปอีกหน่อยก็จะนึกถึงสเต๊กจานโตในราคาประหยัดบนชั้น 2 ของตลาด แต่เมื่อเห็นโปรโมท ทำให้เข้าใจว่า เป็นชื่อหนังเรื่อง 3 ย่าน นั่นเอง ซึ่งแรกๆ เดาว่าน่าจะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับตลาดแน่นอน แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหนัง 3 ย่านเค้ามีคอนเซปต์ เป็นเรื่องราวเดียวกัน แต่แบ่งกันกำกับคนละย่านของ 3 ผู้กำกับ พิง ลำพะเพลิง, ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค, โก๊ะตี๋ อารามบอย (เจริญพร อ่อนละม้าย)
โดยรวมแล้วหนัง 3 ย่าน เป็นเรื่องราวที่ดำเนินแบบต่อเนื่องด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นของแต่ละย่าน โดยย่านแรก จะมีตัวเชื่อมต่อไปยังย่านที่ 2 และจากย่านที่ 2 ก็ต่อไปย่านที่ 3 ซึ่งในแต่ละย่านก็จะแบ่งแยกเรื่องราวของตนเองออกไป
ย่านแรก เป็นการกำกับของ นักเขียน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้มีอารมณ์ขัน “พิง ลำพระเพลิง” กับเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าจอดรถทัวร์แห่งหนึ่ง เมื่อน้าค่อมพนักงานขับรถ ทัวร์(ค่อม ชวนชื่น) กำลังวิ่งไล่จับจู๋จี๋กับตุ๊กกี้บัสโฮสเตสสาวสวย (เป้ย ปานวาด) ขณะจะเข้าด้ายเข้าเข็มก็บังเอิญเหลือบไปเห็นศพหญิงสาวในรถ ทั้งคู่รีบมาบอกกับเจ๊เกี๊ยว(โซเฟีย ลา) เจ้าของรถทัวร์ ซึ่งกลัวว่าเรื่องดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อ ธุรกิจเดินรถ ทั้ง 3 คนจึงร่วมมือกันปฏิบัติการแผนอำพรางศพโดยตั้งใจจะเอาศพไปทิ้งระหว่างทาง การเดินทางที่วุ่นวายของทั้ง 3 คนกับผีสาวสุดเฮี้ยนก็เริ่มต้นขึ้น และเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกเมื่อตำรวจ(อังเคิล) จอมสอดรู้สอดเห็นขอเดินทางไปด้วย ภารกิจใหม่ของทั้ง 3 คนคือ ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ผีหลอกพวกตนแต่ห้ามหลอกตำรวจและผู้โดยสาร ก่อนที่เรื่องราวบนรถทัวร์จะเกิดความโกลาหลไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ พระสงฆ์ ก็ต้องวิ่งหนีผีสาวกันจ้าละหวั่น
ย่านถัดมาเป็นผลงานกำกับของ “ต้อม ยุทธเลิศ” ผู้กำกับแนวหน้าในเมืองไทย ซึ่งเรื่องราวในย่านที่ 2 นี้ เป็นเรื่องของสองหนุ่ม หอย (เสนาหอย) และ บิ๊ก (ทองภูมิ) เพื่อนที่เคยรักกัน แต่ทว่าผิดใจกันเพราะหอย แย่งแฟนของบิ๊กมาครอบครอง และเมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หอยเกิดความระแวงว่า แพนเค้ก อดีตแฟนของบิ๊กเกิดปันใจ เขาจึงว่าจ้างมือปืนตามล่าบิ๊ก แต่ทว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรเพราะหอยให้ไปผิดซอง เรื่องกลับกลายเป็นว่า หอย ต้องกลายเป็นคนถูกล่าหัวเสียเอง
และย่านที่ 3 กับงานกำกับของผู้กำกับสุดฮา “โก๊ะตี๋ อารามบอย” กับเรื่องราวของผู้กำกับในกองกำกับหนัง …. รุ่งขึ้นของวันใหม่โก๊ะ(โก๊ะตี๋) ผู้กำกับหนังตกอับกำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่ที่จะพิสูจน์พื้นที่ของผู้กำกับหนัง ของตัวเองที่เหลือน้อยเต็มที ซึ่งมีแอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) พระเอกตกยุคแสดงนำ และมีเป้ย (กิ๊ฟซ่า) นักแสดงสาวผู้กำลังหวังไต่เต้าทางการแสดงร่วมเล่นด้วย ซึ่งโก๊ะแอบมีสัมพันธ์สวาทกับเป้ยอย่างลับๆ ปัญหาของโก๊ะกับโปรดิวเซอร์ใหญ่ (ป๋าต๊อบ) ผู้จัดการกองถ่ายจอมป่วน (ลูลู่) อีกทั้งธุรกิจกองถ่ายสุดเปิ่น (ลาล่า) ก็แย่พอแล้ว สำหรับการทำงานกองถ่าย ปัญหากับนักแสดงลืมตัวอย่างแอนดี้ก็ยิ่งทำให้แทบจะกระอักเลือด เหมือนผีซ้ำชะตาซวยโก๊ะมารับรู้ความลับบางอย่างเข้า มันเหมือนรถสิบล้อบี้ทับร่างอวบๆ แล้วถอยมาทับอีกรอบ มันทำให้น้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลหลั่ง โก๊ะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อจบปัญหาทุกเรื่องลงให้ได้
จากย่านที่ 1 ที่ได้ดู น่าจะเป็นย่านที่ดูลงตัวที่สุด ฮาที่สุด ด้วยบทที่เข้าใจง่าย วิธีแก้ปัญหาของตัวละครในย่านนี้ก็เป็นไปในรูปแบบของหนังตลก โดยมีนักแสดงตลกอย่าง น้าค่อม ชวนชื่น มาสร้างเสริมความฮาเข้าไปอีก นอกจากนี้ตัวบทยังเสริมส่งให้ย่านนี้เป็นย่านที่ดูผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีที่สุด ไม่น่าเชื่อว่า “เป้ย ปานวาด” ก็แสดงตลกได้ แต่ที่สำคัญตัวละครอีกตัวที่ตลกไม่แพ้กันคือ “โซเฟีย ลา” ที่เป็นความฉลาดของพี่พิง ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของโซเฟีย ลา ออกมาขายได้อย่างโดดเด่น
ส่วนย่านที่ 2 ของผกก.ต้อม ยุทธเลิศ เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย ที่เน้นอยู่แต่กับเรื่องขนาดของอวัยวะเพศชาย และเหมือนเป็นการดูถูกผู้หญิงว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่ขนาดของอวัยวะเพศเท่านั้น ไม่ได้ดูที่เรื่องอื่นๆ การนำเสนอของย่านนี้จะคล้ายๆกับเชิงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้คนดูรู้ว่ามนุษย์ทุกคนก็หนีไม่พ้นเรื่องราวของการทำศัลยกรรม เพื่อให้คนอื่นชอบ ถือว่าเป็นย่านที่ดูเครียดที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้นักแสดงตลก อย่าง เชอรี่ และ หอย มาร่วมถ่ายทอดด้วย เป็นตอนที่รู้สึกว่า ต้อม ยุทธเลิศ เครียดอะไรมาหรือเปล่า? เพราะมันออกแนวหนังที่คนดูทั่วไปต้องตีความ และพยายามทำความเข้าใจมากเกินไป
ส่วนที่ย่านที่ 3 เป็นการกำกับของ โก๊ะตี๋ อารามบอย ที่ต้องบอกว่าเป็นย่านที่คาดหวังกับความตลกที่สุด แต่ทว่ากลับเป็นย่านที่ไม่เหมือนอย่างที่คาด เพราะเป็นเรื่องราวของผู้กำกับคนหนึ่ง ก็คือ โก๊ะตี๋ ที่โดนหักหลัง จากสาวคนรัก “เป้ย” (กิ๊ฟซ่า) ที่เป็นดาราสาวที่หวังไต่เต้า ใช้ผู้กำกับอย่างโก๊ะมาเป็นสะพาน เพื่อให้ตนเองกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ทว่า เป้ย กลับ ปันใจให้กับ แอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) และเมื่อโก๊ะเผอิญรู้ความจริง ก็เกิดความเศร้า เสียใจ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดบทบาทของแอนดี้ ซึ่งเรื่องราวในย่านนี้เมื่ออ่านคร่าวๆก็จะออกแนวดราม่าอยู่แล้ว แต่ด้วยความพยายาม ดูเหมือนโก๊ะตี๋จะสอดแทรกมุกตลกต่างๆ เข้ามาเผื่อผ่อนอารมณ์ไม่ให้คนดูเครียดตามไปกับตัวหนัง
โดยรวมแล้วทั้ง 3 ย่านเป็นหนังที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย โดยผ่านการนำเสนอที่แตกต่าง ซึ่ง 2 ย่านหลังเป็นย่านที่ดูแล้วออกอารมณ์เครียดไปสักหน่อย แต่ถ้าดูเอาฮาก็ต้องย่านแรก แต่ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบ ความชื่นชม ของแฟนๆ ผู้กำกับแต่ละคนกันด้วย.
บทวิจารณ์จาก mthai
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
The Bounty Hunter
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Shrek Forever After
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
I Love You Phillip Morris
Robin Hood
ฉะนั้นหากดู Robin Hood เวอร์ชั่นนี้จบเมื่อไหร่ กลับถึงบ้านหยิบ Robin Hood ฉบับแอนิเมชั่นของ Disney หรือฉบับคนแสดงที่ Kevin Costner แสดงนำมาดูต่อเลยก็ยังได้ (แถม Robin Hood ภาคนี้ จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นภาคต่อของหนังสงคราม-Epic เรื่องก่อนของผกก. Ridley Scott อย่าง Kingdom of Heaven ได้อยู่ เพราะในตอนจบของ KoH เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ยาตราทัพไปตีเยรูซาเล็ม ในขณะที่ตอนต้นเรื่องของ Robin Hood เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดถอยทัพกลับอังกฤษ)
ซึ่งตัวหนัง Robin Hood ภาคนี้เองก็อธิบายที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวและเป็นการปูพื้นเรื่องราวทั้งหมดเพื่อที่เรื่องราวใน Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่นี้จะสามารถดำเนินต่อไปจนกลายเป็นเรื่องราวของ Robin Hood ในเวอร์ชั่นอื่นๆได้จริงๆ
สองนักแสดงนำชาย-หญิงดีกรีออสการ์ของเรื่อง Russell Crowe กับ Cate Blanchett เล่นได้ดีตามมาตรฐาน(อันสูงลิบ)ของตัวเอง(และถึงจะน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นสองคนนี้ปล่อยพลังดาราเหมือนตอนที่ต่างฝ่ายเล่นเรื่อง Gladiator กับ Elizabeth ข่มกัน แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเสียดายอะไรมากมายเพราะตัวหนังก็ไม่ได้เรียกร้องให้สองนักแสดงปล่อยของออกมาเยอะๆ)
โดยพระเอกของเรื่อง Russell Crowe ไปได้ดีกับบท Robin Hood (ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนครหาว่าหุ่นไม่ให้บ้าง ทรงผมไม่ใช่บ้าง) ทำให้คนดูเชื่อได้จริงๆว่าตัวละคร Robin Longstride ในภายหลังจะกลายเป็นจอมโจร Robin Hood ได้จริงๆ(ไม่ว่าจะเป็น Robin Hood เวอร์ชั่นไหนก็ตาม)
และยังสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดูกับตัวละคร แม้จะไม่เข้มข้นเท่าคราวรับบทเป็น Maximus แต่ก็ไม่โหวงเหวงเท่ากับบทของ Balian de Ibelin (Orlando Bloom) พระเอกของเรื่อง Kingdom of Heaven ที่จู่ๆไม่รู้ไปเก็บเลเวลมาจากไหน? จากช่างตีเหล็กธรรมดาภายหลังได้เป็นขุนพลผู้พิทักษ์คนสุดท้ายแห่งเยรูซาเล็มไปซะงั้น
ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆก็เกลี้ยๆบทกันไป จะมี Max von Sydow ดารารุ่นเก๋าที่รับบทเป็น Walter Loxley อัศวินเฒ่าผู้รับ Robin เป็นลูกบุณธรรมนี่แหละที่ดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน(แต่ก็ในฐานะตัวประกอบ...เอ้ย!? นักแสดงสมทบอ่ะนะ)
เรื่องโปรดักชั่นคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็ตามมาตรฐานหนังบล็อกบัสเตอร์ฮอลลีวู้ด ฉากรบตอนท้ายเรื่องที่ถือเป็นไคลแม็กซ์ทำออกมาอลังการใช้ได้ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ารุ่นพี่ๆอย่าง LOTR, Troy, Kingdom of Heaven ฯลฯ
โทนของหนังเองก็ออกแนวแมนๆ หึกเหิมตามฟอร์ม แต่ไม่ได้หึกเหิมแบบแอบซึ้งแบบ Braveheart, ไม่ได้หึกเหิมปนจริงจังเคร่งขรึมแบบ Gladiator, และไม่ได้หึกเหิม บ้าเลือด โหด โฉด เถื่อนแบบ 300 คือเป็นความรู้สึกหึกเหิมที่อยู่ตรงกลาง ตามมาตรฐานอีกนั่นแหละ(เบื่อเหมือนกันที่ต้องแต่ใช้คำเดิมๆอ่ะนะ)
เนื้อเรื่อง ช่วงแรกของหนังจะเป็นการปูพื้นตัวละครของ Robin ส่วนช่วงหลังจะเข้าสู่ประเด็นของหนังจริงๆ(อิสรภาพ ความเท่าเทียม ลูกแกะล่าซิมบ้า บลาๆๆ) มีการพูดปลุกใจ หึกเหิมเข้าไว้แล้วไปรบกัน แล้วก็รบกันตามสูตร (แนวๆ Avatar เลย) ...
สรุปนะครับ หนัง Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่ของผกก. Ridley Scott ในสายตาของผมทำออกมาได้"ตามมาตรฐาน"(อีกแล้ว)ครับ เป็นหนัง Prequel ที่ไม่ได้ดีเลิศเพอร์เฟ็กต์ขนาด Batman Begis หรือแย่แถมออกทะเลแบบ Hannibal Rising
ใครที่ชอบหนังสงคราม-Epic, ชอบสองนักแสดงนำของเรื่อง จะตีตั๋วเข้าไปดูก็คงไม่น่าเสียดายตังค์หรอกครับ แต่หนังมันไม่ถึงขั้น"ชอบมาก ห้ามพลาด ต้องดูให้ได้"ก็เท่านั้น(แต่ก็อย่างว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ ความเห็นของผมฟังหูไว้หูก็พอ)
ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 7.5/10 ครับ...
A Nightmare on Elm Street Remake
=o= ดูมาแล้ว A Nightmare on Elm Street Remake : นิ้วเขมือบ รีเมค : ในฐานะแฟนหนังสยอง รู้สึกเฉยๆแฮะ : ไม่สปอยล์ =o=
ถามความรู้สึกหลังจากดูจบ ในฐานะแฟนหนังสยองขวัญ
ก็ไม่ได้รู้สึกชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียดนะ สรุปคือ รู้สึกเฉยๆ
ทั้งหมดนี้ คือความรู้สึกส่วนตัวของข้าพเจ้า ในฐานะผู้ที่ติดตามซีรี่ย์นี้ทุกภาค
ซึ่งสำหรับคนอื่นๆ ประชาชนทั่วไป อาจจะรู้สึกชอบมาก หรือสนุกกับมันก็ได้
ปัญหาที่ข้าพเจ้ารู้สึกคือ
ไอ้หนังชุด นิ้วเขมือบเนี่ย ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงกลางยุค 80
ซึ่งเป็นยุคที่เทคนิคพิเศษกำลังเฟื่องฟู ไม่ต่างกับปัจจุบันนัก
ซึ่งหนังชุดนี้ ได้ถูกพัฒนาฉากโชว์เทคนิคพิเศษไปจนถึงขั้น แฟนตาซีสุดกู่ไปแล้ว
เราได้เห็นโลกความฝันของเฟรดดี้ที่หวือหวา ทั้งแดนความฝัน แดนปีศาจ แดนนรก
เราได้เห็นลูกเล่นการหลอกหลอนแพรวพราวของเฟรดดี้ ที่มหัศจรรย์สุดโต่งไปแล้ว
ทั้งหุบเหวปีศาจในภาค2 หมาหน้าคนในภาค2 ทีวีสยองในภาค3 ลิ้นสยิวในภาค3
พิซซ่าหน้าคนในภาค4 แมลงสาปยักษ์ในภาค4 มอเตอร์ไซค์นรกภาค5 และอื่นๆ
แต่นิ้วเขมือบภาครีเมค เป็นการย้อนกลับไปทำให้เรียบง่าย ตามแบบภาคแรก
กล่าวคือ นอกจากเนื้อเรื่องเหมือนภาคแรก 80% โดยมีการปรับแต่งนิดๆหน่อยๆ
การหลอกหลอนของเฟรดดี้ก็เรียบๆง่ายๆตามแบบภาคแรก ไม่ค่อยหวือหวานัก
โลกในความฝันกับโลกแห่งความจริงก็ไม่แตกต่างกัน วิธีการฆ่าคนก็เรียบง่าย
จึงทำให้ความรู้สึกสนุกหายไปพอสมควร เหมือนเดินถอยหลัง แทนที่จะเดินหน้า
ยกตัวอย่าง The Hills Have Eyes (โชคดีที่ตายก่อนรีเมค)
หรือว่า The Texas Chain Saw Massacre (สิงหาสับรีเมค)
แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเหมือนต้นฉบับ แต่ก็ลงทุนด้านงานสร้างสูงขึ้น
ฉากอลังการมากขึ้น แอ็คชั่นมากขึ้น และเอฟเฟคสมจริงมากขึ้น
เราจึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับมัน และสนุกกับการชม
กฏง่ายๆของหนังรีเมคคือ….
ถ้ารีเมคแล้วเอฟเฟคน้อยเท่าต้นฉบับ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องใหม่
ถ้าเนื้อเรื่องเหมือนเดิมหมด ก็ควรเพิ่มเรื่องเอฟเฟคให้อลังการมากขึ้น
ในทางกลับกัน เวอร์ชั่นต้นฉบับนั้น โคตรน่ากลัว เอาใจช่วยตัวละคร รู้สึกเหมือนเป็นภัยใกล้ตัว
ขณะที่เวอร์ชั่นรีเมคกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่กลัว ไม่รู้สึกเอาใจช่วย และรู้สึกว่ามันเป็นภัยไกลตัวมาก
ทั้งๆที่เนื้อเรื่องเหมือนกัน ?
และแน่นอนว่า สำหรับคนที่เป็นแฟนหนังนิ้วเขมือบ หลายคนคงรู้สึกเบื่อไม่น้อย
ที่ต้องนั่งดูตัวละครในเรื่องพยายามสืบประวัติของเฟรดดี้ ทั้งๆเราก็รู้กันหมดแล้ว
ต่อไปเป็นความเห็นส่วนตัวสุดๆ ว่าด้วยเรื่องหน้าตานักแสดง
ข้าพเจ้ารู้สึกเหลือเกินว่า นักแสดงทีมเก่า หน้าตาน่ามองกว่าทีมใหม่เยอะ
นางเอกคนเก่าดูสวยน่ารักกว่าคนใหม่เยอะ คนใหม่เธอหน้าออกจิตๆป่วยๆ
หรือว่า จอนนี่ เดบบ์ ก็ถูกแทนที่ด้วย เจ้าหนุ่มแก้มยุ้ย บุคลิกแบบเด็กเนิร์ด
แต่ที่ขัดใจจริงๆ ก็คือหน้าตากับบุคลิกของเฟรดดี้เวอร์ชั่นใหม่นี่แหละ
เฟรดดี้ของเก่าหน้าตาแกดูเจ้าเล่ห์ หน้าโคตรชั่ว แถมขี้เล่น ซุกซน สนุกสนาน
แต่เฟรดดี้ของใหม่ หน้าออกแนว ผีพิการ เก็บกด หดหู่ เหมือนผีมีปัญหาชีวิต
ดูแล้วนึกถึง ตัวร้ายหน้าพิการนั่งรถเข็นในหนังเรื่อง Hannibal
แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่า หนังต้องได้เงินเยอะอยู่แล้วล่ะ เพราะหน้าหนังเอาใจตลาดมากขนาดนี้
ก็อย่างที่บอก อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของแฟนหนังสยองคนๆเดียว วัดอะไรไม่ได้หรอก
ปล. อันนี้หน้าตาทีมดาราชุดใหม่ กับ ทีมดาราชุดเก่า เปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ (สี-ใหม่ ขาวดำ-เก่า)
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Ip Man 2 (2010): จอมยุทธ์ตั้งหลักสู้
Ip Man 2 (2010): จอมยุทธ์ตั้งหลักสู้
บรู๊ซลี ในขณะกำลังฝึกวิทยายุทธ์กับ อ.ยิปมัน
- น่าดูเพราะ: เป็นหนังกังฟูภาคต่อที่ทำได้ดี คิวบู๊แจ่ม แฟนๆ ภาคแรกไม่ผิดหวังแน่นอน
- ไม่น่าดูเพราะ: ก็ยังมีขาดตกบกพร่องไปบ้าง และขาดฉากบู๊เด็ดๆ แบบภาคแรกไป คนที่ชอบกังฟูแบบเว่อร์ คงจะเห็นว่ามันธรรมดาไปนิด
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
The Hole 3D
The Hole 3D มหัศจรรย์หลุมทะลุพิภพ โดยเนื้อเรื่องแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีบทไม่ได้มีที่มาที่ไปอะไรมากมากนัก โดยหลัก ๆ มันก็มีหลุมประหลาด ที่ไม่ได้มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด ที่ถูกล๊อกด้วยกุญแจ (ซึ่งกุญแจ ก็หาได้ไม่ยากเอาซะเลย) ซึ่งเมื่อเปิดออกแล้ว สิ่งชั่วร้ายจะออกมา เนี่ยล่ะคือเรื่องของเรื่อง ซึ่งหากใครต้องการดูหนังแบบว่าต้องการเรื่องที่มีน้ำหนัก เป็นเหตุเป็นผล อันนี้ขอให้ข้ามไปได้เลย หากได้เข้าไปดูแล้ว อาจเสียดายบางสิ่งที่มากกว่าเงินก็เป็นได้ แต่ถ้าต้องการที่จะดูภาพสามมิติที่สวยงามละก็ ต้องแนะนำให้ไปดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพสามมิติทำออกมาได้สวยงามมากทีเดียว เมื่อเข้าไปดูแล้วมีความรู้สึกเหมือนเข้าไปมีส่วนร่วมกันหนังจริงๆ (ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนะ) สำหรับการแสดงของนักแสดงหลักทั้งสาม ซึ่งเป็นนักแสดงโนเนมทั้งนั้น ก็ทำได้ไม่แย่ แต่ก็ได้ไม่ถึงกับดี แต่ต้องยกเว้นพระเอกไว้หน่อย เพราะแสดงได้ค่อนข้างไม่ดีเอามาก ๆ สำหรับผู้กำกับ โจ ดันเต้ ส่วนใหญ่จะทำหนังให้เด็กดูซะเป็นส่วนใหญ่ เรื่องเทคนิกที่นำมาใช้ในหนังเรื่องนี้ต้องนับว่าสุดยอดทีเดียว สุดยอดขนาดได้รางวัล 3D ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ว่าบทของหนังนั้น ไม่มีที่มาที่ไปเป็นที่สุด เลยไม่รู้จะว่ายังไง สรุปว่า ถ้าใครจะไปดูหนังเรื่องนี้ แนะนำให้ไปดูในโรงสามมิติเท่านั้น เพื่อจะได้ไปดูการทำหนังสามมิติระดับเทพ แต่ถ้าจะดูเอาความสนุกอันนี้ต้องลองดูเอาเองครับ นานาจิตตัง |
วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
A Brand New Life
A Brand New Life
กำกับ : Ounie Lecomte
นำแสดง :
Sae Ron Kim ... Jinhee
Do Yeon Park ... Sookhee
Ah-sung Ko ... Ye-shin
ความยาว : 92 นาที
ระดับความชอบ : 8.25/10
วันนี้ตั้งใจว่าจะไปขนของที่คอนโดเก่าใน RCA ไปถึงย่านนั้นก็นึกถึง House Rama เลยเปิดโปรแกรมหนังดู เห็นหนังเรื่องนี้ที่เพิ่งเข้า เป็นหนังสัญชาติเกาหลีครับ
ได้รางวัลที่เบอร์ลินมา และฉายโชว์ที่เมืองคานส์
เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้ เนื้อเรื่องดัดแปลงจากชีวิตจริงของเธอ
เปิดเรื่องมาก็แสดงให้เห็นความสดใสของสาวน้อยที่กำลังจะขึ้นปอสาม และความสัมพันธ์อันดีกับคุณพ่อ หนังพยายามจะบอกถึงความขัดสนของครอบครัวนี้ ทั้งยานพาหนะและการจับจ่ายข้าวของ
มีฉากที่เด็กน้อยร้องเพลงให้พ่อฟัง ช่างน่ารักเหลือเกิน
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1975 คุณพ่อเอาเธอไปไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โดยไม่บอกความจริงใดๆ แต่กลับพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่และบอกว่าจะพาไปเที่ยว
แล้วคุณพ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย
เด็กน้อยไม่เคยเชื่อเลยว่าถูกทิ้ง หลายครั้งที่เธอพยายามติดต่อกับคุณพ่อแต่ไม่สำเร็จ
ปมที่เธอฝังใจว่าทำให้เธอต้องมาอยู่บ้านเด็กกำพร้าทั้งๆ ที่ไม่กำพร้าเพราะเข็มกลัด ที่แทงน้องเลี้ยงของเธอ โดยทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่เลี้ยง ต่างว่าเธอเป็นคนทำ และน้องก็เกือบตายเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น เรื่องทั้งหมดเล่าจากปากของเด็กน้อย
เมื่อกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ เธอจึงเลือกเกิดใหม่ โดยใช้สัญลักษณ์ที่นกตายแล้วถูกฝัง ก็จะไปเกิดใหม่ เธอจึงขุดหลุมฝังตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ลืมคุณพ่อไปเสีย แล้วเริ่มต้นใหม่กับครอบครัวที่พร้อมจะอุปการะในประเทศฝรั่งเศส
หนังสอนให้อยู่กับปัจจุบัน หากได้พยายามจะหาพ่ออย่างดีที่สุดแล้ว ก็ต้องปลง แล้วทำตัวเป็นเด็กกำพร้าและพร้อมจะไปอยู่กับครอบครัวใหม่ให้ได้ แม้จะยากลำบากแค่ไหน ก็ต้องทำใจให้ได้ นางเอกของเรายังทำได้เลย เก้าขวบเอง แถมเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิตที่เธอต้องลืม
หนังเดินเรื่องช้าๆ แต่ไม่น่าเบื่อ ออกจะลุ้นด้วยซ้ำว่าจะจบอย่างไร เนื่องจากมีข้อมูลเรื่องนี้น้อย หนังออกหม่นๆ เพราะเนื้อเรื่องก็ใช่จะรื่นรมย์มากนัก ยังนึกเลยว่าหนังฟิล์มนัวร์หรือเปล่าเนี่ย ไม่ค่อยมีสีสันเลย
ดาราเด็กเล่นดีมากครับ สื่ออารมณ์ทางแววตาได้เป็นอย่างดี
เพลงที่สาวน้อยร้องให้คุณพ่อฟังในตอนแรกนำมาเรียกความตื้นตันในตอนท้ายได้เป็นอย่างดี
หนังจบดี มีความสุขครับ
แอบคิดไปว่าหากเป็นเช่นนี้ สาวน้อยนางเอกของเรายังต้องคิดถึงคุณพ่อที่แท้จริงของเขาอีกไหม เพราะเขาเลือกเองที่จะทิ้ง
ในทางกลับกัน คุณพ่อคงมองแล้วว่าหากมาอยู่สถานที่นี้จะเป็นการดีในอนาคตสำหรับลูก แต่ก็น่าจะบอกความจริง ไม่ใช่มาปล่อยไว้แบบนี้ นี่ยังดีนะที่นางเอกหาทางออกในชีวิตได้
ดูจากเรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ดี ท่านผู้อำนวยการก็ทำตามที่นางเอกร้องขอ ไปหาคุณพ่อที่บ้านตามที่อยู่ แต่เขาย้ายบ้านไปแล้ว ก็นำความจริงมาบอกนางเอก ให้เธอได้ตัดสินใจ ดีกว่าคาใจไว้
ส่วนคุณแม่บ้านก็สอนดี โกรธอยู่ก็เอาไม้ตีผ้าห่ม จะได้ได้งานและทำให้ใจสงบลงด้วย
โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่คุณพ่อทิ้งลูก แม้ลูกจะไปได้ดี แต่เมื่อมองย้อนกลับมาเราได้ทำอะไรเพื่อเธอบ้าง นอกจากให้กำเนิดเธอมา
แล้วอนุสาวรีย์คนนี้เป็นตัวแทนของเราไหม? คุณพ่อคงต้องหาคำตอบเอง
ดังนั้นหากยังไม่พร้อม อย่ามีลูกเลยครับ เป็นบาปเปล่าๆ ถ้าเราเลี้ยงไม่ดี
แต่หากมีแล้ว ก็เลี้ยงให้ดีที่สุด เพราะเขาหรือเธอเปรียบเหมือนอนุสาวรีย์ของเราครับ
โอกาสเป็นอรหันต์ในบ้านอยู่แค่เอื้อม เมื่อเรามีลูกครับ
อย่าให้ลูกต้องเกิดใหม่ ใช้ชีวิตใหม่แบบไม่มีเรา เพราะไม่โชคดีเหมือนนางเอกในเรื่องนี้ทุกคนหรอกครับ
ขอชื่นชมเด็กน้อยที่คิดได้
ชื่นชมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่พยายามทำคนให้เป็นคน
ฉากร้องเพลงส่งเพื่อนที่มีคนมาอุปการะ ซึ้งดี
ฉากขอโทษที่พี่ใหญ่พยายามฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ดีครับ หากเราไม่รักตัวเรา แล้วใครจะรักล่ะครับ
หยุดคิดถึงอดีตและอยู่กับปัจจุบัน เป็นหนทางที่จะได้คำตอบในชีวิต
หนังเรื่องนี้บอกผมอย่างนี้
มีความสุขทุกคนครับ
ปล.โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ อีชางดอง (ผู้กำกับ Oasis และอดีต รมว.กระทรวงวัฒนธรรมของเกาหลี) มีหนังเรื่อง Oasis ในมือ เดี๋ยวลองดูดีกว่า
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิจารณ์ Spoil องค์บาก 3
มาคราวนี้ อยากคุยถึงบางประเด็นที่อยากชมเชยในความพยายามบางอย่างสำหรับองค์บาก 3 ...โดยคุยแบบคนที่ชอบหนังแนวกำลังภายในนะครับ
หากจำกันได้ราวสิบกว่าปีก่อน(มั้งผมขี้เกียจค้นวิกิพิเดียนะ) มีหนังเรื่องหนึ่งของ ฉีเคอะ คือเรื่องเดชไอ้ด้วน แขนหลุดไม่หยุดแค้น ผมดูองค์บาก 3 แล้วนึกถึงหนังเรื่องนี้ในบางประเด็น ดังนี้
1. ในเรื่องเดชไอ้ด้วนแขนหลุดไม่หยุดแค้น ถูกฉีเคอะสร้างขึ้นโดยกระแสของหนังกำลังภายในยุคนั้นกำลังถึงช่วงตันอีกครั้งหนึ่ง หากยุคชอว์ บราเทอร์คือยุคทองของหนังกำลังภายใน ยุคหนังกังฟู(ทำนองไอ้หนุ่มหมัดเมา ไอ้หนุ่มนั่น ไอ้หนุ่มนี่) ก็เป็นวิวัฒนาการหนึ่งของหนังมาเชียล อาร์ต ผู้บุกเบิกคือ บรูซ ลี และมาถึงยุคทองของ เฉินหลง หยวนเปียว หงจินเป่า หลังจากยุคกังฟู หนังมาเชียลอาร์ต(สายฮ่องกง ไต้หวัน) ก็แตกออกไปเป็นสองไลน์ ไลน์หนึ่งคือดึงกลับมายุคปัจจุบันทำหนังให้ทันสมัยขึ้น คิวบู๊ต่อเนื่องขึ้นผู้บุกเบิกคือ เฉินหลง กับหนังตระกูลฟัด อีกไลน์หนึ่งคือ หนังกำลังภายในที่ถูกสร้างด้วยโปรดักชั่นที่ดีขึ้น ฉาก เสื้อผ้า ทำให้สมจริงตามประวัติศาสตร์ ผู้บุกเบิกยุคนั้นคือ ฉีเคอะ ด้วยโปรเจค์ เดชคัมภีร์เทวดา.....
การแตกออกทั้งสองไลน์สร้างคุณูปการให้หนังมาเชียลอาร์ต ยืนยาวต่อมาได้แม้จะหมดยุคทองของชอว์ บราเทอร์แล้ว ผมจำประโยคหนึ่งได้ ตอนที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์วู้ดดี้(เทปนี้วู้ดดี้สัมภาษณ์เฉินหลงถึงฮ่องกง) วู้ดดี้ถามว่าคิดยังไงกับจา พนม เฉินหลงตอบประมาณว่า “จา โชคดีมากเพราะเห็นมาหมดแล้ว ว่าหนังมาเชียลอาร์ตมีกี่แบบ แต่เราต้องค่อยๆ ทดลองทำ จากหนังกำลังภายใน ชักจะตันก็มาทำหนังแบบสมัยใหม่ แต่จาเค้าได้เห็นหมดแล้ว...”
หลายปีผ่านไป หนังตระกูลฟัดก็เริ่มถึงทางตันเหมือนกัน ไม่ได้เป็นหนังทำเงินถล่มทลายแล้ว อาจเป็นว่าเฉินหลงก็แก่ขึ้น (หลังจากช่วงนี้เฉินหลงก็พัฒนาการไปฮอลลีวู้ดสำเร็จ) ส่วนหนังกำลังภายใน แบบฉีเคอะที่แตกออกมาอีกไลน์หนึ่ง ก็ถึงทางตันเหมือนกัน เมื่อมีหนัง โหนสลิง ปล่อยพลังระเบิด ออกมาในยุคนั้นตามรอยเดชคัมภีร์เทวดาเต็มไปหมด บวกกับฮอลลีก้าวเข้าสู่ยุคซีจีเต็มรูปแบบกับจูราสสิคปาร์ค ทำให้ฉีเคอะต้องทำการ “สร้างยุทธภพ” สำหรับหนังกำลังภายในใหม่อีกครั้ง.....
หากในยุคชอว์ บราเทอร์ ยุทธภพถูกแสดงออกด้วยโปรดักชั่นที่ยังไม่แตกต่างจากละครเวที หรืองิ้วมากนัก
ยุคเดชคัมภีร์เทวดา คือการเติมเต็มด้านโปรดักชั่นและสเปเชี่ยลเอฟเฟคท์ แบบเหนือจริงเข้าไป
แล้วฉีเคอะก็สร้างยุทธภพใหม่อีกครั้ง ด้วย เดชไอ้ด้วนแขนหลุดไม่หยุดแค้น ..... แก่นแกนของหนังเต็มไปด้วยบทสนทนาของนางเอกที่เฝ้าถามกับตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่อง ยันจบว่า “อะไรคือยุทธภพ” ฉีเคอะได้ตอบสนองด้วยภาพของยุทธภพที่ไม่มีใครคาดหวังมาก่อน ภาพของยุทธภพที่ดิบ เถื่อน และเรียลลิสติก มากๆ เช่น พระยอดฝีมือก็ถูกนักเลงข้างถนน รุมอัดจนตายอย่างอนาถ ความโรแมนติคของสาเหตุของการแขนขาด ก็ปรับแต่งใหม่ให้พระเอกถูกกับดักแทน ภาพสาวชาวไร่ช่วยพระเอกแทนที่จะเป็นภาพสาวที่แสนสวย ก็เป็นสาวชาวไร่(ในยุคนั้น)ที่น่าจะเป็นในความเป็นจริงคือทั้งซอมซ่อด้วยความยากไร้ ทั้งอัปลักษณ์ ทุกคนในเรื่องต้องทำมาหากิน (สำนักพระเอกหากินด้วยการตีดาบ พระเอกตอนพิการแล้วต้องไปเป็นเด็กเสริฟ) การเลือกใช้ดาบครึ่งเล่มไม่ใช่เพราะเหตุผลโรแมนติคหรือศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นเพราะไม่มีเงินซื้อดาบปกติแบบชาวบ้านเค้า ฯลฯ
นี่คือความพยายามในการ “สร้างยุทธภพ” ใหม่อีกครั้งของฉีเคอะ ....แต่ผลลัพท์ของมันก็อย่างที่ทราบหนังไม่ได้รับการตอบรับในเชิงรายได้มากนัก ..... กลายเป็นว่าหลังจากนั้นหนังกำลังภายในแนวซีจี อย่างฟงหวิน หรือซูซันของฉีเคอะเองในภายหลังกลับได้รับการตอบรับมากกว่า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็ชื่นชมความพยายามในการสร้างยุทธภพอีกแบบของฉีเคอะ ในเดชไอ้ด้วน
2. ความพยายามสร้าง “ยุทธภพไทยๆ ขององค์บาก 2-3” อย่างที่เฉินหลงเคยบอก จาโชคดีที่ทำหนังในยุคนี้ เมื่อคนทำหนังมาเชี่ยลอาร์ต ได้ทดลองสร้างมาหลาย ๆ แบบแล้ว จาก็น่าจะสร้างหนังได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกอีก ก็ถูก หนังอย่างองค์บาก 1 หรือ ต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีหนังตระกูลฟัด เป็นแบบอย่างหรือเคยบุกเบิกตลาดมาก่อน แต่สำหรับองค์บาก 2-3 นั้น จากลับต้องสร้างยุทธภพไทย ๆ ที่ไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน....
เป็นภาระที่หนักพอๆกับที่ฉีเคอะต้องสร้างยุทธภพใหม่ครั้งแรกสำหรับ เดชคัมภีร์เทวดา ครั้งที่สองกับ เดชไอ้ด้วน หรือครั้งที่สามยุทธภพ(เทวดา)แบบซีจีสำหรับเทพยุทธซูซัน ยิ่งไม่นับว่า เดชคัมภีร์เทวดานั้นสร้างบนฐานของนิยายกำลังภายในของกิมย้ง(กระบี่เย้ยยุทธจักร) เดชไอ้ด้วนคือการรีเมกหนังยุคชอว์ บราเทอร์(ถ้าจำไม่ผิดเวอร์ชั่นชอว์ฯ กำกับโดยจางเชอะ หวังยู่แสดงนำ) และซูซันก็เป็นการรีเมกเหมือนกัน แต่องค์บาก 2-3 นั้นต้อง “ปั้นยุทธภพไทย” ขึ้นมาจาก ศูนย์เลยทีเดียว
เนื้อเรื่องอาจได้แรงบันดาลใจจากหนังมาเชียลอาร์ตโบราณได้ แต่ต้องปรับให้เข้ากับบริบทไทยๆ ศาสตร์ ปรัชญาในการต่อสู้ ต้องกลับมาค้นมรดกไทย แล้วสร้างมันขึ้นมาในหนังให้ได้ ..... ภาพยุทธภพขององค์บาก 2-3 ย้อนไปในประวัติศาสตร์ที่อโยธยาแผ่อำนาจไปทางตะวันออกติดชายแดนขอม ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหนักแน่นไม่ลอยละล่องไร้ที่มาที่ไป ทั้งรายละเอียดทางวัฒนธรรมที่นำเสนอแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะสร้าง “ยุทธภพไทยๆ” ให้ดีที่สุด สมจริงสมจังที่สุด (ส่วนท่านชมแล้วรู้สึกอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง-ฮา)
อยากเปรียบเทียบว่าการสร้างบริบทยุทธภพที่ไม่เคยมีมาก่อนให้ดู “เข้าท่า” นั้นยากอย่างยิ่ง เราคงนึกไม่ออกว่าถ้าเปลี่ยนจากยุทธภพจีนหรือไทยแบบที่เราเคยเห็นจากหนังจีนและองค์บาก 2-3 นั้น ลองเป็นยุทธภพอินเดีย ยุทธภพอาหรับ จะเป็นอย่างไร ? แล้วถ้าชาวอินเดียจะสร้างหนังจอมยุทธ์อินเดียมันจะยากแค่ไหน (เพราะเค้าไม่มีหนังจอมยุทธ์อินเดียโบราณเป็นต้นแบบให้มาพัฒนาต่อ)
ดังนั้นแม้ว่าองค์บาก 3 จะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศ แต่หากผมชื่นชมกับความพยายามในการสานต่อตำนานหนังมาเชียลอาร์ตของ ฉีเคอะ หรืออั้งลี หรือ จางอี้โหมว ผมคงต้องคาราวะให้จาพนมและพันนา ในการสร้างจุดเริ่มต้นของตำนานหนังมาเชียลอาร์ตไทย ๆ สำหรับองค์บาก 2-3 อย่างยิ่ง และเหนืออื่นใดขอคาราวะความกล้าที่จะทิ้งแนวทางที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองในองค์บาก 1 และต้มยำกุ้ง มาสร้างหนังเรื่องนี้