Search

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิจารณ์ The Losers

The Losers

Losers เป็นหนังที่ถูกสร้างมาจากการ์ตูน Comics เช่นเดียวกันกับ Kick Ass
เป็นหนังที่เกี่ยวกับทีมปฏิบัติการพิเศษของอเมริกา มีสมาชิกในทีม 5 คน

เคลย์ เป็นหัวหน้าทีม
เจนเซ่น ผู้เชียวชาญคอมพิวเตอร์
โรก ผู้เชียวชาญด้านระเบิด
พุช ผู้เชียวชาญด้านขนส่ง
คูก้า สไนเปอร์ ผู้เยี่ยมวรยุทธ์

นอกจากนี้ยังมี ไอชา สายลับสาวผู้ลึกลับอีกหนึ่งคนด้วย

เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ทั้งห้าร่วมกันเพื่อล้างแค้นคนที่ชื่อ Max จึงเกิดการบู๊ล้างผลาญ แอ็คชั่นมันส์กระจาย ความมันส์สุดยอด
ถ้าจะว่าไปแล้วมันเป็นหนังแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าไม่พูดถึงเนื้อเรื่องที่อยู่ในเกณฑ์พออดทนดูได้
ส่วนฉากระเบิดตูมตามด้วย CG นั้นถ้าไม่พูดถึงก็จะเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งทีเดียว
แต่ถ้าเลียงที่จะพูดไม่ได้ ก็เอาเป็นว่าแย่ก็ตรง CG นี่แหล่ะ

สรุป เป็นหนังแอ็คชั่นสุดมันส์เรื่องหนึ่ง ถ้าคุณจะดูหนังเอามันส์ละก็ นี่คือหนังที่คุณต้องการ ส่วนเรื่องสาระก็จำเป็นต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ
ให้เกรด B+

ขอนอกเรื่องนิดนึง ผมว่าเค้าน่าจะหาคนแสดงเป็น ไอชา สวยกว่านี้ได้นะครับ
หนังน่าจะน่าดูเพิ่มขึ้นล่ะว๊ะ
กะลาน้อย

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

3 ย่าน หนังที่เน้นความสัมพันธ์หญิงชาย

บทความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เมื่อได้ยินคำว่า 3 ย่าน หลายคนคงนึกไปถึงตลาดแถวจุฬา ซึ่งมีอาหารขึ้นชื่อที่ได้ยินเรื่อยมาคือ โจ๊ก หรือถ้าเข้าไปอีกหน่อยก็จะนึกถึงสเต๊กจานโตในราคาประหยัดบนชั้น 2 ของตลาด แต่เมื่อเห็นโปรโมท ทำให้เข้าใจว่า เป็นชื่อหนังเรื่อง 3 ย่าน นั่นเอง ซึ่งแรกๆ เดาว่าน่าจะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับตลาดแน่นอน แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหนัง 3 ย่านเค้ามีคอนเซปต์ เป็นเรื่องราวเดียวกัน แต่แบ่งกันกำกับคนละย่านของ 3 ผู้กำกับ พิง ลำพะเพลิง, ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค, โก๊ะตี๋ อารามบอย (เจริญพร อ่อนละม้าย)

โดยรวมแล้วหนัง 3 ย่าน เป็นเรื่องราวที่ดำเนินแบบต่อเนื่องด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นของแต่ละย่าน โดยย่านแรก จะมีตัวเชื่อมต่อไปยังย่านที่ 2 และจากย่านที่ 2 ก็ต่อไปย่านที่ 3 ซึ่งในแต่ละย่านก็จะแบ่งแยกเรื่องราวของตนเองออกไป

ย่านแรก เป็นการกำกับของ นักเขียน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้มีอารมณ์ขัน “พิง ลำพระเพลิง” กับเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าจอดรถทัวร์แห่งหนึ่ง เมื่อน้าค่อมพนักงานขับรถ ทัวร์(ค่อม ชวนชื่น) กำลังวิ่งไล่จับจู๋จี๋กับตุ๊กกี้บัสโฮสเตสสาวสวย (เป้ย ปานวาด) ขณะจะเข้าด้ายเข้าเข็มก็บังเอิญเหลือบไปเห็นศพหญิงสาวในรถ ทั้งคู่รีบมาบอกกับเจ๊เกี๊ยว(โซเฟีย ลา) เจ้าของรถทัวร์ ซึ่งกลัวว่าเรื่องดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อ ธุรกิจเดินรถ ทั้ง 3 คนจึงร่วมมือกันปฏิบัติการแผนอำพรางศพโดยตั้งใจจะเอาศพไปทิ้งระหว่างทาง การเดินทางที่วุ่นวายของทั้ง 3 คนกับผีสาวสุดเฮี้ยนก็เริ่มต้นขึ้น และเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกเมื่อตำรวจ(อังเคิล) จอมสอดรู้สอดเห็นขอเดินทางไปด้วย ภารกิจใหม่ของทั้ง 3 คนคือ ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ผีหลอกพวกตนแต่ห้ามหลอกตำรวจและผู้โดยสาร ก่อนที่เรื่องราวบนรถทัวร์จะเกิดความโกลาหลไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ พระสงฆ์ ก็ต้องวิ่งหนีผีสาวกันจ้าละหวั่น

ย่านถัดมาเป็นผลงานกำกับของ “ต้อม ยุทธเลิศ” ผู้กำกับแนวหน้าในเมืองไทย ซึ่งเรื่องราวในย่านที่ 2 นี้ เป็นเรื่องของสองหนุ่ม หอย (เสนาหอย) และ บิ๊ก (ทองภูมิ) เพื่อนที่เคยรักกัน แต่ทว่าผิดใจกันเพราะหอย แย่งแฟนของบิ๊กมาครอบครอง และเมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หอยเกิดความระแวงว่า แพนเค้ก อดีตแฟนของบิ๊กเกิดปันใจ เขาจึงว่าจ้างมือปืนตามล่าบิ๊ก แต่ทว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรเพราะหอยให้ไปผิดซอง เรื่องกลับกลายเป็นว่า หอย ต้องกลายเป็นคนถูกล่าหัวเสียเอง

และย่านที่ 3 กับงานกำกับของผู้กำกับสุดฮา “โก๊ะตี๋ อารามบอย” กับเรื่องราวของผู้กำกับในกองกำกับหนัง …. รุ่งขึ้นของวันใหม่โก๊ะ(โก๊ะตี๋) ผู้กำกับหนังตกอับกำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่ที่จะพิสูจน์พื้นที่ของผู้กำกับหนัง ของตัวเองที่เหลือน้อยเต็มที ซึ่งมีแอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) พระเอกตกยุคแสดงนำ และมีเป้ย (กิ๊ฟซ่า) นักแสดงสาวผู้กำลังหวังไต่เต้าทางการแสดงร่วมเล่นด้วย ซึ่งโก๊ะแอบมีสัมพันธ์สวาทกับเป้ยอย่างลับๆ ปัญหาของโก๊ะกับโปรดิวเซอร์ใหญ่ (ป๋าต๊อบ) ผู้จัดการกองถ่ายจอมป่วน (ลูลู่) อีกทั้งธุรกิจกองถ่ายสุดเปิ่น (ลาล่า) ก็แย่พอแล้ว สำหรับการทำงานกองถ่าย ปัญหากับนักแสดงลืมตัวอย่างแอนดี้ก็ยิ่งทำให้แทบจะกระอักเลือด เหมือนผีซ้ำชะตาซวยโก๊ะมารับรู้ความลับบางอย่างเข้า มันเหมือนรถสิบล้อบี้ทับร่างอวบๆ แล้วถอยมาทับอีกรอบ มันทำให้น้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลหลั่ง โก๊ะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อจบปัญหาทุกเรื่องลงให้ได้

จากย่านที่ 1 ที่ได้ดู น่าจะเป็นย่านที่ดูลงตัวที่สุด ฮาที่สุด ด้วยบทที่เข้าใจง่าย วิธีแก้ปัญหาของตัวละครในย่านนี้ก็เป็นไปในรูปแบบของหนังตลก โดยมีนักแสดงตลกอย่าง น้าค่อม ชวนชื่น มาสร้างเสริมความฮาเข้าไปอีก นอกจากนี้ตัวบทยังเสริมส่งให้ย่านนี้เป็นย่านที่ดูผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีที่สุด ไม่น่าเชื่อว่า “เป้ย ปานวาด” ก็แสดงตลกได้ แต่ที่สำคัญตัวละครอีกตัวที่ตลกไม่แพ้กันคือ “โซเฟีย ลา” ที่เป็นความฉลาดของพี่พิง ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของโซเฟีย ลา ออกมาขายได้อย่างโดดเด่น

ส่วนย่านที่ 2 ของผกก.ต้อม ยุทธเลิศ เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย ที่เน้นอยู่แต่กับเรื่องขนาดของอวัยวะเพศชาย และเหมือนเป็นการดูถูกผู้หญิงว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่ขนาดของอวัยวะเพศเท่านั้น ไม่ได้ดูที่เรื่องอื่นๆ การนำเสนอของย่านนี้จะคล้ายๆกับเชิงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้คนดูรู้ว่ามนุษย์ทุกคนก็หนีไม่พ้นเรื่องราวของการทำศัลยกรรม เพื่อให้คนอื่นชอบ ถือว่าเป็นย่านที่ดูเครียดที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้นักแสดงตลก อย่าง เชอรี่ และ หอย มาร่วมถ่ายทอดด้วย เป็นตอนที่รู้สึกว่า ต้อม ยุทธเลิศ เครียดอะไรมาหรือเปล่า? เพราะมันออกแนวหนังที่คนดูทั่วไปต้องตีความ และพยายามทำความเข้าใจมากเกินไป

ส่วนที่ย่านที่ 3 เป็นการกำกับของ โก๊ะตี๋ อารามบอย ที่ต้องบอกว่าเป็นย่านที่คาดหวังกับความตลกที่สุด แต่ทว่ากลับเป็นย่านที่ไม่เหมือนอย่างที่คาด เพราะเป็นเรื่องราวของผู้กำกับคนหนึ่ง ก็คือ โก๊ะตี๋ ที่โดนหักหลัง จากสาวคนรัก “เป้ย” (กิ๊ฟซ่า) ที่เป็นดาราสาวที่หวังไต่เต้า ใช้ผู้กำกับอย่างโก๊ะมาเป็นสะพาน เพื่อให้ตนเองกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ทว่า เป้ย กลับ ปันใจให้กับ แอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) และเมื่อโก๊ะเผอิญรู้ความจริง ก็เกิดความเศร้า เสียใจ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดบทบาทของแอนดี้ ซึ่งเรื่องราวในย่านนี้เมื่ออ่านคร่าวๆก็จะออกแนวดราม่าอยู่แล้ว แต่ด้วยความพยายาม ดูเหมือนโก๊ะตี๋จะสอดแทรกมุกตลกต่างๆ เข้ามาเผื่อผ่อนอารมณ์ไม่ให้คนดูเครียดตามไปกับตัวหนัง

โดยรวมแล้วทั้ง 3 ย่านเป็นหนังที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย โดยผ่านการนำเสนอที่แตกต่าง ซึ่ง 2 ย่านหลังเป็นย่านที่ดูแล้วออกอารมณ์เครียดไปสักหน่อย แต่ถ้าดูเอาฮาก็ต้องย่านแรก แต่ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบ ความชื่นชม ของแฟนๆ ผู้กำกับแต่ละคนกันด้วย.

บทวิจารณ์จาก mthai


แต่โดยส่วนตัวนะครับ หนังมันไม่ได้กลมกลืนกันเอาเสียเลย มุขตลกก็ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่
น่าเสียดายที่มีทั้งดารา นักแสดง คนเขียนบท ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมารวมกัน น่าจะทำได้ดีกว่านี้

กะลาน้อย

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Bounty Hunter



เป็นหนังทีมีพระเอกและนางเอก ดึงดูด มาก ๆ เลยทีเดียว
ทั้ง Jennifer Aniston และ Gerard Butler แสดงเป็น นิโคล และ ไมโล
ทั้งที่ได้คู่พระเอกและนางเอกที่เข้าคู่กันมากขนาดนี้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมหนังมันถึงได้เป็นอย่างนี้
เรื่องมันมีอยู่ว่า ไมโล เป็นนักล่าค่าหัว ที่ได้รับมอบหมายให้ไปล่าตัว นิโคล อดีตแฟน ซึ่งเป็นนักข่าว ที่หลบหนีการประกันตัว
ซึ่งระหว่างนั้นได้เกิดเรื่องยุ่ง ๆ มากมาย


ในเรื่องนี้จะว่ามันเป็นหนังตลก มันก็ไม่ตลกเต็มที จะว่ามันเป็นหนังโรแมนติก มันก็ไม่โรแมนติกเอาซะเลย
หนังเรื่องนี้คนจะเป็นยุคตกต่ำของ เจนิเฟอร์ และ เจอราร์ดแล้วล่ะ หนังนี้ให้วิจารณ์ว่าดีไม่ได้เลย
เอาเป็นว่า ทั้งพล็อตเรื่อง รวมทั้งดารา มันน่าจะเป็นหนังที่ดีมากแท้ ๆ แต่ว่าโดยรวมมันกลับเป็นหนังที่พอดูได้เท่านั้นล่ะ
อันนี้ผมคิดว่าน่าจะพลาด ที่Andy Tennant ผู้กำกับนะเนี้ย กำกับยังไงฟะ ทำไมหนังมันเป็นอย่างนี้
ถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่ได้ไปดู แนะนำว่าถ้าอยากดูรอหนังแผ่นเลยน่าจะดีกว่า
เพราะสำหรับผมมันไม่สนุกเอาซะเลย เสียดายตังค์มากกว่า


กะลาน้อย

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Shrek Forever After


วิจารณ์กันเลยนะครับ

Shrek เริ่มเรื่องด้วยการกลายมาเป็น ยักษ์ที่มีชีวิตที่แสนสงบสุข เป็นคุณพ่อที่แสนดี กับลูก ๆ ทั้งสาม เป็นที่รักของทุกคนในเมือง แต่จริง ๆ แล้ว Shrek อยากจะกลับไปเป็นยักษ์เหมือนเก่า
รัมเพลสติลท์สกิน จอมจ้อได้โอกาส จึงหลอกให้ Shrek เซ็นสัญญา ในงานวันเกิดของShrek ซึ่งทำให้เมือง ฟาร์ฟาร์อะเวย์เปลี่ยนไปจากเดิม
รัมเพลสติลท์สกิน กลาย เป็นพระราชา ยักษ์โดนตามล่า และทุก ๆ คนไม่มีใครรู้จัก Shrek แม้แต่ฟีโอน่า ก็จำไม่ได้


พล็อตเรื่องที่ดูง่าย ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน การ์ตูนเด็กที่เดาตอนจบได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรื่องนี้
แม้พล็อตเรื่องจะธรรมดา แต่หนังกลับไม่ธรรมดา ด้วยฝีมือผู้กำกับ Mike Mitchell และ นักเขียน Josh Klausner และ Darren Lemke
ภาพและการเคลื่อนไหวของกราฟฟิกเนียนมาก เนื้อเรื่องมีการลำดับได้ดี ทำให้เข้าใจได้ง่ายแม้จะไม่ได้ดูภาคแรก ๆ มาก่อน มีการใช้เพลงประกอบกับการเล่าเรื่องตอนแรกได้อย่างลงตัว มีมุขให้ฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ คือ เด็กก็จะฮามุกเด็ก แล้วผู้ใหญ่ก็จะฮามุกผู้ใหญ่ เนื้อเรื่องก็ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด คือไม่มีเจ็บหนัก ไม่มีตาย เพราะฉะนั้นถ้าจะนำเด็กไปดูก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความรุนแรงในเรื่องแม้แต่น้อย
Shrek (voiced by Mike Myers) and Rumpelstiltskin (Walt Dohrn) in DreamWorks Animation’s “Shrek Forever After.”
หากใครได้ดูแบบเสียงภาษาอังกฤษ เจ้าลา โดย Eddie Murphy และเจ้าแมว พุช โดย Antonio Banderas นี่จะฮามากขอบอก โดยเจ้าแมว พุช อิน บูท ฮาได้ทุกตอนที่ออกมาเลยทีเดียว ซึ่งมางวดนี้ มันก็ไม่ได้ อิน บูท ดูแล้วนึกว่าเป็นการ์ฟิลมากกว่า

ส่วนเสียงของ ฟีโอน่า โดย Diaz นั้น น่าจะฟอร์มตกลงไปหน่อยละมั้ง ส่วนคนอื่น ๆ ทำได้ดี โดยเฉพาะ ตัวร้ายของเรื่อง รัมเพลสติลท์สกิน โดย Walt Dohrn สมบทบาทมากทีเดียว


ส่วนเสียงภาษาไทย ไม่ได้ไปดูมา ใครไปดูมาก็คอมเม้นท์ให้หน่อยก็แล้วกันนะ
ถ้าใครชอบการ์ตูนสนุก แบบเด็ก ๆ เรื่องนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว เพราะไม่ซับซ้อน ไม่ซ่อนเงื่อน ไม่มีปริศนาอะไรทั้งนั้น การ์ตูนเด็กอย่างแท้จริง
สรุป Shrek Forever After เป็นหนังที่น่าพาลูกพาหลานไปดูครับ

วิจารณ์โดย กะลาน้อย

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

I Love You Phillip Morris

I Love You Phillip Morris (2009): รักนายนะตัวเอง จุ๊บๆ

I Love You Phillip Morris (2009) :
หนังดราม่า/ตลก ของ Jim Carrey (Yes Man [2008]) เรื่องนี้เขาเปิ๊ดสะก๊าดไม่ใช่เล่น เพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักหวานหยดย้อยของชาวเกย์ในคุก ที่สร้างจากเรื่องจริงอีกที เปิ๊ดไม่เปิ๊ดแค่ไหนก็คิดดูเอาละกัน ขนาดนี่ได้ชื่อว่าเป็นหนังของ Jim Carrey ที่มีหนุ่ม Ewan McGregor (Big Fish [2003]) มาขึ้นจอด้วยแล้ว ก็ยังประสบปัญหา หาผู้จัดจำหน่ายหนังในอเมริกายากเลย แถมที่ผ่านมาก็ได้แต่เปิดฉายแบบจำกัดโรงอีกด้วย งานนี้ชักยังไงๆ แล้วสิเนี่ย


หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยชายหน้าตาดีที่มา...สวีทกัน
ดูเหมือนว่ายอดชายนาย Steven Russell (Carrey) จะเป็นชายที่ดีพร้อม เขามีหน้าที่การงานที่ดี(เป็นตำรวจ) มีลูกและภรรยาที่น่ารัก เป็นที่รักใคร่จากเพื่อนฝูง แต่เมื่อคืนนึงเขาประสบอุบัติเหตุรถชน เขาก็จึงค้นพบสัจธรรม ลุกขึ้นมาประกาศความจริงแก่ภรรยาของตนว่า "ผมเป็นเกย์" เสร็จแล้วเจ๊แกก็ทิ้งเมียไปเสวยสุขกับคู่ขาหุ่นล่ำ(Rodrigo Santoro จาก 300 [2006]) ที่ไมอามี่ โดยทำมาหาเลี้ยงคู่ขาด้วยการเป็นนักต้มตุ๋นไปซะงั้น


เรื่องนี้พี่ Ewan McGregor เล่นได้จริตจะก้านนี่ใช่เลย
และแน่นอนที่จะต้องถูกซิวเข้าซังเตจนได้ ซึ่งที่นั่นเจ๊ก็ได้พบรักแท้กับนักโทษหนุ่มหน้าแบ๊วนาม Phillip Morris (McGregor) แต่หลังจากหวานชื่นกันได้ไม่นานก็เป็นอันต้องพลัดพรากจากกัน เจ๊จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะแหกคุกไปหายอดรักให้จงได้ ซึ่งแต่ละวิธีของเจ๊เขาเนี่ยแบบว่า...เอิ่ม คิดได้ไงเนี่ยทั้งนั้น ความรักของคนทั้งคู่จะลงตัวสุขสมหวังหรือไม่นั้น ก็หาคำตอบกันได้ที่สีลมซอยสอง เอ๊ย หนังเรื่องนี้กันได้เลยจ้า


จะอยู่ในคุกหรือนอกคุกป๋า Jim ก็ไม่เคยขาดคู่ขาเลย
ถึงจะเป็นหนังตลกที่เกี่ยวกับเกย์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเกย์ในหนังให้ออกมาดูมัวหมอง อันที่จริงถ้าไม่มีเฮีย Carrey แสดงนำ หนังก็เกือบจะเป็น หนังดราม่าเกย์น่ารักๆ ซึ้งๆ ได้เลยล่ะ (ปานนั้นเชียว?) แต่กระนั้นเฮียCarrey แกก็ไม่ได้เล่นตลก ทำตัวบ้าบอผิดมนุษย์มนา ทว่าขอตลกแบบพองามเพื่อไม่ให้เป็นที่แปดเปื้อนต่อสถาบันเก้งกวางอันทรงเกียรติแต่อย่างใด แต่ที่โดดเด้งจริงๆ ก็คือคุณพี่ McGregor ในบทนางเอก ที่มีจริตจะก้าน อ่อนช้อย หวานแหววได้ใจ ใช่เลย ถึงไม่ใช่หนังตลกประเภทที่ว่าดูไปขำขี้แตกขี้แตนไป แต่ก็มอบความบันเทิงให้ได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ตะขิดตะขวงใจในการที่ต้องเห็นหนุ่มทั้งสองจูบกันดูดดื่ม สบตากันอย่างมีความหมาย เต้นรำกันอย่างหวานซึ้งในห้องขังแคบๆ และสวีทกันทั้งเรื่อง (ป๊าด) คุณก็จะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยจ้า


ดูเหมือนหนังจบแต่คนจะยังไม่จบซะแล้วนะเนี่ย
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนัง ดราม่า/ตลก แนวเกย์ๆ ที่ทำได้น่าดู แสดงกันได้ดี ขำก็ยังได้อยู่ น่าสนใจๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครรับไม่ได้ที่จะเห็นป๋า Jim ดูดปากแลกขี้ฟันอย่างดูดดื่มกับคุณพี่ Ewan โปรดพึงหลีกเลี่ยงอย่างแรง
*อันเนื่องมาจากหนัง*

โฉมหน้าเจ๊ Steven Jay Russell ตัวจริงเสียงจริง
เห็นเรื่องราวในหนังเว่อร์ๆ แบบนั้นเหอะ แต่อย่าลืมว่าหนังสร้างมาจากเรื่องจริงของเจ๊ Steven Jay Russell เกย์นักต้มตุ๋นที่แหกคุกเป็นว่าเล่นจนได้รับฉายาว่า 'Houdini'(นักมายากลในตำนาน) หรือ 'King Con' ซึ่งว่ากันว่าเขามี IQ สูงถึง 163 เลยทีเดียวเชียว

เรื่องราวชีวิตเขาก็คล้ายๆ กับที่เห็นในหนังแต่เราขอเพิ่มเติมสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเขาดังต่อไปนี้
  • ตลอดหลายปีเขาปลอมตัวเป็นบุคคลอาชีพต่างๆ กว่า 14 ตัวตน ประกอบไปด้วยทั้งอาชีพ ทนาย ผู้พิพากษา ตำรวจ ช่างซ่อม นักจิตวิทยา ฯลฯ
  • ในปี 1996 ระหว่างที่ติดคุกใน Texas เขาเข้าเรียนชั้นศิลปะ แล้วก็แอบขโมย 'สีเมจิก' มาซ่อนไว้ใต้เตียงทีละแท่งสองแท่ง จนเยอะพอที่จะย้อมชุดนักโทษของตนให้กลายเป็นสีเขียว เพื่อจะได้เหมือนเครื่องแบบของหมอ แล้วเขาก็เดินออกจากคุกได้หน้าตาเฉยเลย(ฮ่วย)
  • อีกแผนหนีคุกอันเด็ดขาดของเขาก็คือ การกินยาระบายให้ดูเหมือนคนจะป่วยเป็นเอดส์ และก็ปลอมเอกสารจนได้ออกไปรักษาอาการอยู่ข้างนอกคุก แล้วก็ปลอมเอกสารหลอกหมอข้างนอกอีกทีว่าตนได้ตายแล้ว เสร็จแล้วก็ลอยนวลไปได้อย่างสบายใจเฉิบ
  • เขายังมีวีรกรรมหนีคุกอีกเยอะ แต่ในที่สุดเมื่อปี 1998 เขาก็ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง และครั้งนี้รวมโทษเสร็จสรรพของเขาทั้งสิ้นได้ทั้งหมด 144 ปี โดยจะต้องถูกจองจำอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการหลบหนีอีก
  • ปัจจุบันนี้เขามีอายุ 52 ขวบและยังอยู่ดีมีสุขในคุก ก็ต้องคอยดูต่อไปว่า เขาจะสามารถหนีออกมาลั้ลลาได้อีกครั้งหรือไม่ สู้เขานะเจ๊!
วิจารณ์โดย Nanatakara


เพิ่มอีกนิด
ความรู้สึก เห็นความพยายามของเกย์โลกแตกอย่างเจ๊ Steven ที่ทำทุกทางเพื่อให้ได้สมหวังกับคนรัก แล้วนับถือหัวจิตหัวใจของแกจริงๆ รักไม่มีพรหมแดน กรงขังก็มิอาจขวางกั้น ดูเป็นหนังดราม่ารักโรแมนติกอยู่เหมือนกัน เรื่องนี้ Jim ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์เดิมๆของเขา รับบทเกย์ไอคิวสูง Steven Russell ที่ฉลาดและแร่ดได้บ้าบอได้มาก ส่วน Phillip Morris ที่เล่นโดย Ewan ม่ะน่าเชื่อว่าจะเล่นได้น่ารักน่าเอ็นดูน่าทะนุถนอมขนาดนั้น อย่างนี้สิ Steven ถึงได้หลงหัวปักหัวปำ ทำอะไรเพื่อหล่อนได้มากขนาดนั้น

กล้าเล่น กล้าฉีกบทบาทกันทั้งคู่ นับถือๆ ไม่แคร์สื่อกันจริงๆ

ถือเป็นหนังที่ดูสนุก ขำๆ กับอานุภาพแห่งรักที่ไม่ธรรมดา ที่ ชาย-หญิง หากไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนไปเสียก่อน คงอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว




สิ่งที่ชอบ พล๊อตเรื่องที่โครตเปรี๊ยว บ้าสุดๆ การเล่าเรื่องที่ดูสนุก ชวนขำได้ตลอดเวลา แถมมีมุขตลกร้ายๆ ตามแบบฉบับ Jim Cary ที่เล่นได้หน้าตายมาก ดูแล้ว Ewan รับบท Phillip Morris แบบสบายๆ ชิลล์ๆ เล่นได้เนียนเหมือนเป็๋นเกย์สาวจริงๆ การถ่ายภาพสวย สถานที่ดนตรีประกอบลงตัวดี

สิ่งที่ไม่ชอบ ได้ข่าวว่าถูกตัดฉากแรงๆบางส่วนออกไป หาก Jim ลดความเป็นตัวของตัวเองลงมาสักหน่อย หนังน่าจะดูดราม่าหวานซึ้งได้ขึ้นมาอีกสักนิด

สรุป เป็นหนังเกย์แตก ที่เกย์ เก๊ย์ เกย์ ที่บ้าสุดๆ

ความรู้สึกโดย แคบซูลสีฟ้า

Robin Hood

"Rise and rise again untill lambs become lions."

ROBIN HOOD

Robin Hood ภาคนี้ไม่ได้เป็นหนังรีเมคมาจากหนัง
Robin Hood เวอร์ชั่นไหนๆทั้งนั้น แต่เป็น Prequel (ภาคก่อนหน้า,ภาคต้นกำเนิด) เหมือนเช่น Star Wars: Episode I-III, Batman Begins, Casino Royale ฯลฯ

ฉะนั้นหากดู Robin Hood เวอร์ชั่นนี้จบเมื่อไหร่ กลับถึงบ้านหยิบ Robin Hood ฉบับแอนิเมชั่นของ Disney หรือฉบับคนแสดงที่ Kevin Costner แสดงนำมาดูต่อเลยก็ยังได้ (แถม Robin Hood ภาคนี้ จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นภาคต่อของหนังสงคราม-Epic เรื่องก่อนของผกก. Ridley Scott อย่าง Kingdom of Heaven ได้อยู่ เพราะในตอนจบของ KoH เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ยาตราทัพไปตีเยรูซาเล็ม ในขณะที่ตอนต้นเรื่องของ Robin Hood เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดถอยทัพกลับอังกฤษ)

ซึ่งตัวหนัง Robin Hood ภาคนี้เองก็อธิบายที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวและเป็นการปูพื้นเรื่องราวทั้งหมดเพื่อที่เรื่องราวใน Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่นี้จะสามารถดำเนินต่อไปจนกลายเป็นเรื่องราวของ Robin Hood ในเวอร์ชั่นอื่นๆได้จริงๆ

สองนักแสดงนำชาย-หญิงดีกรีออสการ์ของเรื่อง Russell Crowe กับ Cate Blanchett เล่นได้ดีตามมาตรฐาน(อันสูงลิบ)ของตัวเอง(และถึงจะน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นสองคนนี้ปล่อยพลังดาราเหมือนตอนที่ต่างฝ่ายเล่นเรื่อง Gladiator กับ Elizabeth ข่มกัน แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเสียดายอะไรมากมายเพราะตัวหนังก็ไม่ได้เรียกร้องให้สองนักแสดงปล่อยของออกมาเยอะๆ)

โดยพระเอกของเรื่อง Russell Crowe ไปได้ดีกับบท Robin Hood (ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนครหาว่าหุ่นไม่ให้บ้าง ทรงผมไม่ใช่บ้าง) ทำให้คนดูเชื่อได้จริงๆว่าตัวละคร Robin Longstride ในภายหลังจะกลายเป็นจอมโจร Robin Hood ได้จริงๆ(ไม่ว่าจะเป็น Robin Hood เวอร์ชั่นไหนก็ตาม)


และยังสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดูกับตัวละคร แม้จะไม่เข้มข้นเท่าคราวรับบทเป็น Maximus แต่ก็ไม่โหวงเหวงเท่ากับบทของ Balian de Ibelin (Orlando Bloom) พระเอกของเรื่อง Kingdom of Heaven ที่จู่ๆไม่รู้ไปเก็บเลเวลมาจากไหน? จากช่างตีเหล็กธรรมดาภายหลังได้เป็นขุนพลผู้พิทักษ์คนสุดท้ายแห่งเยรูซาเล็มไปซะงั้น

ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆก็เกลี้ยๆบทกันไป จะมี Max von Sydow ดารารุ่นเก๋าที่รับบทเป็น Walter Loxley อัศวินเฒ่าผู้รับ Robin เป็นลูกบุณธรรมนี่แหละที่ดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน(แต่ก็ในฐานะตัวประกอบ...เอ้ย!? นักแสดงสมทบอ่ะนะ)



เรื่องโปรดักชั่นคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็ตามมาตรฐานหนังบล็อกบัสเตอร์ฮอลลีวู้ด ฉากรบตอนท้ายเรื่องที่ถือเป็นไคลแม็กซ์ทำออกมาอลังการใช้ได้ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ารุ่นพี่ๆอย่าง LOTR, Troy, Kingdom of Heaven ฯลฯ

โทนของหนังเองก็ออกแนวแมนๆ หึกเหิมตามฟอร์ม แต่ไม่ได้หึกเหิมแบบแอบซึ้งแบบ Braveheart, ไม่ได้หึกเหิมปนจริงจังเคร่งขรึมแบบ Gladiator, และไม่ได้หึกเหิม บ้าเลือด โหด โฉด เถื่อนแบบ 300 คือเป็นความรู้สึกหึกเหิมที่อยู่ตรงกลาง ตามมาตรฐานอีกนั่นแหละ(เบื่อเหมือนกันที่ต้องแต่ใช้คำเดิมๆอ่ะนะ)

เนื้อเรื่อง ช่วงแรกของหนังจะเป็นการปูพื้นตัวละครของ Robin ส่วนช่วงหลังจะเข้าสู่ประเด็นของหนังจริงๆ(อิสรภาพ ความเท่าเทียม ลูกแกะล่าซิมบ้า บลาๆๆ) มีการพูดปลุกใจ หึกเหิมเข้าไว้แล้วไปรบกัน แล้วก็รบกันตามสูตร (แนวๆ Avatar เลย) ...


สรุปนะครับ หนัง Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่ของผกก. Ridley Scott ในสายตาของผมทำออกมาได้"ตามมาตรฐาน"(อีกแล้ว)ครับ เป็นหนัง Prequel ที่ไม่ได้ดีเลิศเพอร์เฟ็กต์ขนาด Batman Begis หรือแย่แถมออกทะเลแบบ Hannibal Rising

ใครที่ชอบหนังสงคราม-Epic, ชอบสองนักแสดงนำของเรื่อง จะตีตั๋วเข้าไปดูก็คงไม่น่าเสียดายตังค์หรอกครับ แต่หนังมันไม่ถึงขั้น"ชอบมาก ห้ามพลาด ต้องดูให้ได้"ก็เท่านั้น(แต่ก็อย่างว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ ความเห็นของผมฟังหูไว้หูก็พอ)

ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 7.5/10 ครับ...

โดย Apple101

A Nightmare on Elm Street Remake

nightmare

=o= ดูมาแล้ว A Nightmare on Elm Street Remake : นิ้วเขมือบ รีเมค : ในฐานะแฟนหนังสยอง รู้สึกเฉยๆแฮะ : ไม่สปอยล์ =o=

ถามความรู้สึกหลังจากดูจบ ในฐานะแฟนหนังสยองขวัญ
ก็ไม่ได้รู้สึกชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียดนะ สรุปคือ รู้สึกเฉยๆ

ทั้งหมดนี้ คือความรู้สึกส่วนตัวของข้าพเจ้า ในฐานะผู้ที่ติดตามซีรี่ย์นี้ทุกภาค
ซึ่งสำหรับคนอื่นๆ ประชาชนทั่วไป อาจจะรู้สึกชอบมาก หรือสนุกกับมันก็ได้

ปัญหาที่ข้าพเจ้ารู้สึกคือ

ไอ้หนังชุด นิ้วเขมือบเนี่ย ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงกลางยุค 80
ซึ่งเป็นยุคที่เทคนิคพิเศษกำลังเฟื่องฟู ไม่ต่างกับปัจจุบันนัก

ซึ่งหนังชุดนี้ ได้ถูกพัฒนาฉากโชว์เทคนิคพิเศษไปจนถึงขั้น แฟนตาซีสุดกู่ไปแล้ว
เราได้เห็นโลกความฝันของเฟรดดี้ที่หวือหวา ทั้งแดนความฝัน แดนปีศาจ แดนนรก
เราได้เห็นลูกเล่นการหลอกหลอนแพรวพราวของเฟรดดี้ ที่มหัศจรรย์สุดโต่งไปแล้ว
ทั้งหุบเหวปีศาจในภาค2 หมาหน้าคนในภาค2 ทีวีสยองในภาค3 ลิ้นสยิวในภาค3
พิซซ่าหน้าคนในภาค4 แมลงสาปยักษ์ในภาค4 มอเตอร์ไซค์นรกภาค5 และอื่นๆ

แต่นิ้วเขมือบภาครีเมค เป็นการย้อนกลับไปทำให้เรียบง่าย ตามแบบภาคแรก
กล่าวคือ นอกจากเนื้อเรื่องเหมือนภาคแรก 80% โดยมีการปรับแต่งนิดๆหน่อยๆ
การหลอกหลอนของเฟรดดี้ก็เรียบๆง่ายๆตามแบบภาคแรก ไม่ค่อยหวือหวานัก
โลกในความฝันกับโลกแห่งความจริงก็ไม่แตกต่างกัน วิธีการฆ่าคนก็เรียบง่าย
จึงทำให้ความรู้สึกสนุกหายไปพอสมควร เหมือนเดินถอยหลัง แทนที่จะเดินหน้า

ยกตัวอย่าง The Hills Have Eyes (โชคดีที่ตายก่อนรีเมค)
หรือว่า The Texas Chain Saw Massacre (สิงหาสับรีเมค)
แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเหมือนต้นฉบับ แต่ก็ลงทุนด้านงานสร้างสูงขึ้น
ฉากอลังการมากขึ้น แอ็คชั่นมากขึ้น และเอฟเฟคสมจริงมากขึ้น
เราจึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับมัน และสนุกกับการชม

กฏง่ายๆของหนังรีเมคคือ….
ถ้ารีเมคแล้วเอฟเฟคน้อยเท่าต้นฉบับ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องใหม่
ถ้าเนื้อเรื่องเหมือนเดิมหมด ก็ควรเพิ่มเรื่องเอฟเฟคให้อลังการมากขึ้น

ในทางกลับกัน เวอร์ชั่นต้นฉบับนั้น โคตรน่ากลัว เอาใจช่วยตัวละคร รู้สึกเหมือนเป็นภัยใกล้ตัว
ขณะที่เวอร์ชั่นรีเมคกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่กลัว ไม่รู้สึกเอาใจช่วย และรู้สึกว่ามันเป็นภัยไกลตัวมาก

ทั้งๆที่เนื้อเรื่องเหมือนกัน ?

และแน่นอนว่า สำหรับคนที่เป็นแฟนหนังนิ้วเขมือบ หลายคนคงรู้สึกเบื่อไม่น้อย
ที่ต้องนั่งดูตัวละครในเรื่องพยายามสืบประวัติของเฟรดดี้ ทั้งๆเราก็รู้กันหมดแล้ว

ต่อไปเป็นความเห็นส่วนตัวสุดๆ ว่าด้วยเรื่องหน้าตานักแสดง
ข้าพเจ้ารู้สึกเหลือเกินว่า นักแสดงทีมเก่า หน้าตาน่ามองกว่าทีมใหม่เยอะ
นางเอกคนเก่าดูสวยน่ารักกว่าคนใหม่เยอะ คนใหม่เธอหน้าออกจิตๆป่วยๆ
หรือว่า จอนนี่ เดบบ์ ก็ถูกแทนที่ด้วย เจ้าหนุ่มแก้มยุ้ย บุคลิกแบบเด็กเนิร์ด

แต่ที่ขัดใจจริงๆ ก็คือหน้าตากับบุคลิกของเฟรดดี้เวอร์ชั่นใหม่นี่แหละ
เฟรดดี้ของเก่าหน้าตาแกดูเจ้าเล่ห์ หน้าโคตรชั่ว แถมขี้เล่น ซุกซน สนุกสนาน
แต่เฟรดดี้ของใหม่ หน้าออกแนว ผีพิการ เก็บกด หดหู่ เหมือนผีมีปัญหาชีวิต
ดูแล้วนึกถึง ตัวร้ายหน้าพิการนั่งรถเข็นในหนังเรื่อง Hannibal

แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่า หนังต้องได้เงินเยอะอยู่แล้วล่ะ เพราะหน้าหนังเอาใจตลาดมากขนาดนี้
ก็อย่างที่บอก อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของแฟนหนังสยองคนๆเดียว วัดอะไรไม่ได้หรอก

nightmare

ปล. อันนี้หน้าตาทีมดาราชุดใหม่ กับ ทีมดาราชุดเก่า เปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ (สี-ใหม่ ขาวดำ-เก่า)

โดย แมลงปิศาจ

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Ip Man 2 (2010): จอมยุทธ์ตั้งหลักสู้

Ip Man 2 (2010): จอมยุทธ์ตั้งหลักสู้


ฮ่องกง


Ip Man 2 (2010) :
ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2008 นั้นทำออกมาได้บู๊โดนใจคอหนังกำลังภายในเสียจริง (กับฉากเด็ดที่ทหารญี่ปุ่นนับสิบรุมกินโต๊ะพระเอกเรา) หนังเลยฮิตซะระเบิดระเบ้อ แถมยังคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยมของ Hong Kong Film Awards ไปครองด้วย ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องแบบนี้ ว่าแล้วก็เลยมีภาคต่อออกมาให้ดูกัน ซึ่งก็เชื่อว่าต้องเป็นที่ตั้งตารอคอยจากบรรดาคอหนังที่เคยชื่นชอบภาคแรกอย่างแน่นอน


อาจารย์ยิปมันกลับมาพร้อมกับมาดนิ่มๆ แต่ฝีมือเด็ดขาดอีกครั้ง
เฮีย ดอนนี่ เยน (Hero [2002]) กลับมาอีกครั้งด้วยมาดนิ่มๆ ในบททั่นอาจารย์ ยิปมัน ยอดปรมาจารย์มวยหย่งชุน ที่เพิ่งอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่เกาะฮ่องกง ซึ่งแกก็ตั้งใจจะเปิดสำนักมวยขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ยักมีใครมาสมัครเป็นศิษย์ของแกสักคน รายได้เลยไม่มีมาจ่ายค่าเช่าห้อง (ต้องคอยหลบเจ้าหนี้ อนาถมาก)และเลี้ยงดูลูกเมีย(ซึ่งกำลังท้องแก่เต็มที) แถมสำนักมวยเจ้าถิ่นก็พากันมาหาเรื่อง(นำขบวนโดนเจ้าหมูหิน(แก่) หงจินเป่า) ไหนจะต้องมีเหตุให้ไปฟาดปากกับนักมวยฝรั่งที่เข้ามาย่ำยีศักดิ์ศรีของคนจีนอีก บอกได้เลยว่างานนี้ทั่นอาจารย์เราน่วมมิใช่น้อยเลยทีเดียว เหอๆ


ภาคนี้อาจารย์เขาต้องฟัดกะฝรั่งด้วย
ผกก.วิลสัน ยิป กลับมารับหน้าที่อีกครั้งได้อย่างถึงคุณภาพเช่นเดิม งานด้านต่างๆ อยู่ในขั้นดีเท่าเทียมกับภาคแรก แต่อาจจะขาดฉากบู๊เด็ดๆ แบบที่คนดูแล้วถึงกับอุทาน 'เจ๋งฟ่ะ' แบบตอนฟัดกับทหารญี่ปุ่นเช่นในภาคแรกไป ถึงกระนั้นคิวบู๊ที่มีมาเสนอก็ยังแจ่มมากอยู่ดี โดยเฉพาะการได้เห็นลุง หงจินเป่า มาฟัดกับเฮีย เยน บนจอ ก็ถือว่าซี้ดไม่ใช่เล่นแล้ว โดยรวมแล้วถึงจะไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าภาคแรก แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยคุณภาพ แฟนๆ ภาคแรกคงจะไม่ผิดหวังกันแน่นอนจ้า


ตัวละครหน้าใหม่หน้าเก่ามากันเพียบ
และก็เช่นเดิมกับภาคแรกในประเด็นเรื่องการปลุกเลือดรักชาติ(จีน) ที่คราวนี้พระเอกเราต้องมาต่อกรกับฝรั่งบ้าง จากช่วงแรกของหนังจะเห็นได้ว่าเหล่าลูกศิษย์ของพระเอกเที่ยวทะเลาะกับศิษย์สำนักอื่นๆ ไปทั่ว จนทั่นอาจารย์ก็ไม่ไหวจะเคลียร์ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าธรรมชาติของคนเรานั้น มักจะฝักใฝ่ในการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งสี แบ่งโรงเรียน แบ่งสถาบัน แบ่งพวกเอ็งพวกข้าอยู่แล้ว แต่ควรแล้วหรือที่คนในชาติเดียวกันจะมาแตกแยกกันเอง ว่าแล้วก็เลยต้องมีศัตรูร่วมกันซะ(ในที่นี้คือชาวตะวันตก) เท่านี้คนในชาติก็จะรักสามัคคีกันขึ้นแล้ว (แต่มุกนี้พี่ไทยเคยเอามาใช้แต่ไม่ได้ผลนิ อิอิ)


บรู๊ซลี ในขณะกำลังฝึกวิทยายุทธ์กับ อ.ยิปมัน
สำหรับคนที่สงสัยอยู่ว่าภาคนี้จะได้เห็น บรู๊ซ ลี หรือไม่นั้น ก็ขอบอกว่า'ได้เห็น' แต่จะได้เห็นแบบแป๊บๆ นะ ซึ่งแต่เริ่มเดิมทีผู้สร้างก็กะจะให้มี บรู๊ซ ลี เป็นตัวละครเด่นอยู่หรอก แต่ตกลงกับทางญาติของ บรู๊ซ ลี ไม่ลงตัว ก็เลยต้องไปจับประเด็นอื่นแทน ยังไงซะก็อุตส่าห์มีฉากสั้นๆ ที่มี บรู๊ซ ลี โผล่มาให้เห็นกันแก้เก้อ จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังกังฟูภาคต่อที่ทำได้ดี คิวบู๊แจ่ม แฟนๆ ภาคแรกไม่ผิดหวังแน่นอน
  • ไม่น่าดูเพราะ: ก็ยังมีขาดตกบกพร่องไปบ้าง และขาดฉากบู๊เด็ดๆ แบบภาคแรกไป คนที่ชอบกังฟูแบบเว่อร์ คงจะเห็นว่ามันธรรมดาไปนิด

บทความโดย nanatakara (เจ้าของบทวิจารณ์อยากให้เรียกของเขาว่าบทความครับ)

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Hole 3D

The Hole 3D มหัศจรรย์หลุมทะลุพิภพ


โดยเนื้อเรื่องแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีบทไม่ได้มีที่มาที่ไปอะไรมากมากนัก โดยหลัก ๆ มันก็มีหลุมประหลาด ที่ไม่ได้มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด ที่ถูกล๊อกด้วยกุญแจ (ซึ่งกุญแจ ก็หาได้ไม่ยากเอาซะเลย) ซึ่งเมื่อเปิดออกแล้ว สิ่งชั่วร้ายจะออกมา เนี่ยล่ะคือเรื่องของเรื่อง

ซึ่งหากใครต้องการดูหนังแบบว่าต้องการเรื่องที่มีน้ำหนัก เป็นเหตุเป็นผล อันนี้ขอให้ข้ามไปได้เลย หากได้เข้าไปดูแล้ว อาจเสียดายบางสิ่งที่มากกว่าเงินก็เป็นได้ แต่ถ้าต้องการที่จะดูภาพสามมิติที่สวยงามละก็ ต้องแนะนำให้ไปดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพสามมิติทำออกมาได้สวยงามมากทีเดียว เมื่อเข้าไปดูแล้วมีความรู้สึกเหมือนเข้าไปมีส่วนร่วมกันหนังจริงๆ (ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนะ)

สำหรับการแสดงของนักแสดงหลักทั้งสาม ซึ่งเป็นนักแสดงโนเนมทั้งนั้น ก็ทำได้ไม่แย่ แต่ก็ได้ไม่ถึงกับดี แต่ต้องยกเว้นพระเอกไว้หน่อย เพราะแสดงได้ค่อนข้างไม่ดีเอามาก ๆ

สำหรับผู้กำกับ โจ ดันเต้ ส่วนใหญ่จะทำหนังให้เด็กดูซะเป็นส่วนใหญ่ เรื่องเทคนิกที่นำมาใช้ในหนังเรื่องนี้ต้องนับว่าสุดยอดทีเดียว สุดยอดขนาดได้รางวัล 3D ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ว่าบทของหนังนั้น ไม่มีที่มาที่ไปเป็นที่สุด เลยไม่รู้จะว่ายังไง
สรุปว่า ถ้าใครจะไปดูหนังเรื่องนี้ แนะนำให้ไปดูในโรงสามมิติเท่านั้น เพื่อจะได้ไปดูการทำหนังสามมิติระดับเทพ แต่ถ้าจะดูเอาความสนุกอันนี้ต้องลองดูเอาเองครับ นานาจิตตัง

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

A Brand New Life

A Brand New Life

หยุดคิด เพื่อชีวิตใหม่



กำกับ : Ounie Lecomte
นำแสดง :
Sae Ron Kim ... Jinhee
Do Yeon Park ... Sookhee
Ah-sung Ko ... Ye-shin
ความยาว : 92 นาที
ระดับความชอบ : 8.25/10

วันนี้ตั้งใจว่าจะไปขนของที่คอนโดเก่าใน RCA ไปถึงย่านนั้นก็นึกถึง House Rama เลยเปิดโปรแกรมหนังดู เห็นหนังเรื่องนี้ที่เพิ่งเข้า เป็นหนังสัญชาติเกาหลีครับ
ได้รางวัลที่เบอร์ลินมา และฉายโชว์ที่เมืองคานส์

เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้ เนื้อเรื่องดัดแปลงจากชีวิตจริงของเธอ

เปิดเรื่องมาก็แสดงให้เห็นความสดใสของสาวน้อยที่กำลังจะขึ้นปอสาม และความสัมพันธ์อันดีกับคุณพ่อ หนังพยายามจะบอกถึงความขัดสนของครอบครัวนี้ ทั้งยานพาหนะและการจับจ่ายข้าวของ
มีฉากที่เด็กน้อยร้องเพลงให้พ่อฟัง ช่างน่ารักเหลือเกิน

เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1975 คุณพ่อเอาเธอไปไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โดยไม่บอกความจริงใดๆ แต่กลับพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่และบอกว่าจะพาไปเที่ยว
แล้วคุณพ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย

เด็กน้อยไม่เคยเชื่อเลยว่าถูกทิ้ง หลายครั้งที่เธอพยายามติดต่อกับคุณพ่อแต่ไม่สำเร็จ
ปมที่เธอฝังใจว่าทำให้เธอต้องมาอยู่บ้านเด็กกำพร้าทั้งๆ ที่ไม่กำพร้าเพราะเข็มกลัด ที่แทงน้องเลี้ยงของเธอ โดยทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่เลี้ยง ต่างว่าเธอเป็นคนทำ และน้องก็เกือบตายเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น เรื่องทั้งหมดเล่าจากปากของเด็กน้อย

เมื่อกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ เธอจึงเลือกเกิดใหม่ โดยใช้สัญลักษณ์ที่นกตายแล้วถูกฝัง ก็จะไปเกิดใหม่ เธอจึงขุดหลุมฝังตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ลืมคุณพ่อไปเสีย แล้วเริ่มต้นใหม่กับครอบครัวที่พร้อมจะอุปการะในประเทศฝรั่งเศส
หนังสอนให้อยู่กับปัจจุบัน หากได้พยายามจะหาพ่ออย่างดีที่สุดแล้ว ก็ต้องปลง แล้วทำตัวเป็นเด็กกำพร้าและพร้อมจะไปอยู่กับครอบครัวใหม่ให้ได้ แม้จะยากลำบากแค่ไหน ก็ต้องทำใจให้ได้ นางเอกของเรายังทำได้เลย เก้าขวบเอง แถมเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิตที่เธอต้องลืม

หนังเดินเรื่องช้าๆ แต่ไม่น่าเบื่อ ออกจะลุ้นด้วยซ้ำว่าจะจบอย่างไร เนื่องจากมีข้อมูลเรื่องนี้น้อย หนังออกหม่นๆ เพราะเนื้อเรื่องก็ใช่จะรื่นรมย์มากนัก ยังนึกเลยว่าหนังฟิล์มนัวร์หรือเปล่าเนี่ย ไม่ค่อยมีสีสันเลย

ดาราเด็กเล่นดีมากครับ สื่ออารมณ์ทางแววตาได้เป็นอย่างดี
เพลงที่สาวน้อยร้องให้คุณพ่อฟังในตอนแรกนำมาเรียกความตื้นตันในตอนท้ายได้เป็นอย่างดี

หนังจบดี มีความสุขครับ

แอบคิดไปว่าหากเป็นเช่นนี้ สาวน้อยนางเอกของเรายังต้องคิดถึงคุณพ่อที่แท้จริงของเขาอีกไหม เพราะเขาเลือกเองที่จะทิ้ง
ในทางกลับกัน คุณพ่อคงมองแล้วว่าหากมาอยู่สถานที่นี้จะเป็นการดีในอนาคตสำหรับลูก แต่ก็น่าจะบอกความจริง ไม่ใช่มาปล่อยไว้แบบนี้ นี่ยังดีนะที่นางเอกหาทางออกในชีวิตได้

ดูจากเรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ดี ท่านผู้อำนวยการก็ทำตามที่นางเอกร้องขอ ไปหาคุณพ่อที่บ้านตามที่อยู่ แต่เขาย้ายบ้านไปแล้ว ก็นำความจริงมาบอกนางเอก ให้เธอได้ตัดสินใจ ดีกว่าคาใจไว้
ส่วนคุณแม่บ้านก็สอนดี โกรธอยู่ก็เอาไม้ตีผ้าห่ม จะได้ได้งานและทำให้ใจสงบลงด้วย

โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่คุณพ่อทิ้งลูก แม้ลูกจะไปได้ดี แต่เมื่อมองย้อนกลับมาเราได้ทำอะไรเพื่อเธอบ้าง นอกจากให้กำเนิดเธอมา
แล้วอนุสาวรีย์คนนี้เป็นตัวแทนของเราไหม? คุณพ่อคงต้องหาคำตอบเอง
ดังนั้นหากยังไม่พร้อม อย่ามีลูกเลยครับ เป็นบาปเปล่าๆ ถ้าเราเลี้ยงไม่ดี
แต่หากมีแล้ว ก็เลี้ยงให้ดีที่สุด เพราะเขาหรือเธอเปรียบเหมือนอนุสาวรีย์ของเราครับ

โอกาสเป็นอรหันต์ในบ้านอยู่แค่เอื้อม เมื่อเรามีลูกครับ

อย่าให้ลูกต้องเกิดใหม่ ใช้ชีวิตใหม่แบบไม่มีเรา เพราะไม่โชคดีเหมือนนางเอกในเรื่องนี้ทุกคนหรอกครับ

ขอชื่นชมเด็กน้อยที่คิดได้
ชื่นชมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่พยายามทำคนให้เป็นคน

ฉากร้องเพลงส่งเพื่อนที่มีคนมาอุปการะ ซึ้งดี
ฉากขอโทษที่พี่ใหญ่พยายามฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ดีครับ หากเราไม่รักตัวเรา แล้วใครจะรักล่ะครับ

หยุดคิดถึงอดีตและอยู่กับปัจจุบัน เป็นหนทางที่จะได้คำตอบในชีวิต
หนังเรื่องนี้บอกผมอย่างนี้

มีความสุขทุกคนครับ

ปล.โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ อีชางดอง (ผู้กำกับ Oasis และอดีต รมว.กระทรวงวัฒนธรรมของเกาหลี) มีหนังเรื่อง Oasis ในมือ เดี๋ยวลองดูดีกว่า

วิจารณ์โดย คนขับช้า

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิจารณ์ Spoil องค์บาก 3

เรื่องนี้ขออนุญาตหาข้อมูลที่ Spoil มาให้เลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเนื่อเรื่องมันก็ไม่มีอะไรให้ สปอยล์มากอยู่แล้ว


+++ Spoil & Review องค์บาก 3 : เสนห์ที่ขาดหายไป +++
หากเอ่ยถึงชื่อของ จา พนม แล้วนั้น ทุกคนต้องนึกถึงหนังแอ็คชั่น เจ้าของสโลแกน ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สตั้นท์ และฉากแอ็คชั่นมันส์กันทั้งเรื่องอย่างแน่นอน และนี่คือจุดขายของภาพยนต์ทุกเรื่องของจา พนม ครับ แต่สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงต่อจากนี้นั้น อาจขัดใจแฟนๆของจา พนม บ้างก็ต้องขออภัยไว้ก่อน

สิ่งแรกที่อยากจะพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นของบทหนังที่ขาดความสมเหตุสมผล อ๊ะ พอมาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจค้านแล้วว่า “มันก็หนังแอ็คชั่น จะเอาอะไรนักหนา” ใช่ครับ มันคือหนังแอ็คชั่นที่ความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจในรายละเอียดของบทหนังมากเกินไปนัก ผมอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ด้วยเสียงวิจารณ์และความกดดันที่ได้รับจากสื่อและคนดูต่างๆจากหนังเรื่อง “องค์บาก” และ “ต้มยำกุ้ง” ที่หลายคนยังจำได้ดีถึงการตามหาคน สัตว์ สิ่งของ ที่มีประโยคเด็ดอย่าง “ช้างตูอยู่ไหน? ”นั่นเองที่ทำให้ตัวหนังองค์บาก 2 และ 3 พยายามที่จะให้ความสำคัญกับตัวบทมากขึ้น เพิ่มความเป็นดราม่าให้กับตัวละคร ซึ่งผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่นั้นเข้าไม่ได้ต้องการที่จะเห็นในจุดนี้หรอกแต่มีบ้างก็ดี แต่ก็นั่นอีกล่ะครับ

1.ถ้าตัดรายละเอียดของบททิ้งไป = เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเลย แม่ม สู้กันทั้งเริ่อง สาดดดดด!!!

2.มีบทและรายละเอียด มีความเป็นดราม่า = บทห่วย เสียเวลา สู้กันนิดเดียวเอง

นี่ไงครับคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ซึ่งจา พนมและทีมงานต้องหาความพอดีของมันให้ได้ สังเกตง่ายๆจากหนังของเฉินหลง ที่ตัวบทในแต่ละเรื่องค่อนข้างเรียบง่าย พระเอกเป็นตำรวจ เป็นกุ้ก เป็นนักล่าสมบัติ ซะส่วนใหญ่ ซึ่งถามว่าบทดีมั้ย ไม่ครับ ไม่ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป มีความผสมผสานกันอย่างลงตัวในรายละเอียดของตัวบท ดูสมเหตุสมผลในตัวละครกับบท ผมอยากให้จา พนม กลับไปสู่พื้นฐานคือใช้บทที่เรียบง่าย ผสมผสานกับนักแสดงที่ช่วยส่งเสริมในการรับภาระเรื่องบทหรือฉากตลกอย่าง หม่ำ ในองค์บากภาคแรก เพราะโดยตัวจาเองนั้น ไม่สามารถเล่นแอ็คชั่น-คอมมาดี้ แบบเฉินหลงได้ด้วยตัวเอง จำต้องมีคนคอยชงให้ ดังนั้นควรมอบภาระในเรื่องตลกหรือเรื่องบทดราม่าให้กับนักแสดงท่านอื่นแทนครับ

สิ่งที่สำคัญในรายละเอียดของหนังที่ถูกพูดถึงและหายไปคือ

1.ฉากประหารที่อยู่ดีๆก็มีม้าเร็วมาอ้างถึงกษัตย์แห่งอโยธยาใหรับตัวเทียนไปนั้น คือใคร รับไปทำไม มีเหตุผลอะไรเหรอ? พอถูกฆ่าตายทุกอย่างก็หายไปด้วย

2.ฉากที่เทียนหยั่งรู้สัจธรรมแล้วมีแสงสว่างบังเกิดขึ้น พวกทหารจะล้มสลบกันไปทำไม เป็นลมแดดเรอะ!!

3.ในองค์บากภาคแรก มีการพูดถึงพระพุทธรูปองค์บากที่ตำนานและประโยคว่า “แค่ครูมวยคนนึงไปต่อสู้เพื่อทวงองค์บากคืนจากพวกพม่า จะอะไรนักหนา” ประมาณนี้ คนพูดคือบักดอน ที่ขโมยองค์บากไป สรุปแล้วมันเรื่องเดียวกันมั้ยเนี่ย

4.แล้วก็เช่นกัน พระพุทธรูปอง์บากในภาค 3 เป็นโลหะหรือทองสัมฤทธิ์ (มั้ง) แต่ในภาคแรกกลายเป็นเป็นปูน ซึ่งอันนี้พออนุมานได้ว่าเป็นคนละองค์กัน เช่นเมื่อเป็นที่เคารพก็มีการสร้างอีกเยอะมากเพื่อนำไปบูชา




อย่างที่ 2 ฉากแอ็คชั่น

ในมุมมองของผมองค์บาก 3 มีสัดส่วนของบทอยู่ที่ 60% และฉากแอ็คชั่นเพียง 40% เท่านั้น หลายท่านอาจบอกว่า “ก็ฉากแอ็คชั่นไปอยู่ในองค์บาก 2 แล้วไงล่ะ” ก็ถูกอีกนั่นล่ะครับ แต่ถ้ามีความตังใจที่จะสร้างเป็น 2 และ 3 ก็ควรที่จะแบ่งให้มันดูสมดุลกันมากกว่านี้ พูดถึงฉากแอ็คชั่น จา พนมและพันนา ต้องการให้มีความแตกต่างและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จาก

-องค์บาก = มวยไทยโบราณ

-ต้มยำกุ้ง = มวยคชสาร (รึเปล่า) ทุ่ม ทับ จับ หัก

-องค์บาก 2 = มวยไทย มวยจีน ดาบ หอก โซ่ กระบี่ กระบอก

-องค์บาก 3 = นาฎยุทธ (มวยท่ารำ)


จะเห็นได้ว่าในแต่ละเรื่องนั้นมีการต่อสู้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละ ในมุมมองผมคือยิ่งทำให้เสน่ห์ในความเป็นไทยเหลือน้อยลงทุกที ด้วยเหตุผลที่ว่า อย่างในต้มยำกุ้งนั้น การหักกระดูกนั้นไม่ได้ต่างจากหนังเกรดบีของ สตีเว่น ซีกัล เลย ถึงแม้เราจะสวยงามกว่าก็ตาม พอมาถึงองค์บาก 2 การรำมวยจีน กระบี่ กระบอง การใช้โซ่ หรือหอกนั้น ผมเข้าใจในตัวหนังนะที่ว่าต้องการสื่อให้เห็นถึงคนคนนึงที่ใช้ศิลปะการต่อสู้ได้ทุกแขนง อันนี้ไม่ว่ากัน แต่นักแสดงชาติอื่นก็ทำได้ แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีนักแสดงชาติใดหรือหนังเรื่องใดในโลกมีก็คือ “มวยไทย” ครับ จา พนมคือคนเดียวและเป็นสิ่งที่ทำให้คุณโด่งดังไปทั้งโลก และล่าสุดกับองค์บาก 3 นี้ที่มีการประยุคในในส่วนของท่ารำเป็นท่ามวย ถามผมว่าแปลกมั้ย? ตอบได้ว่าแปลกมากๆๆ แต่ถ้าถามผมว่าสวยมั้ย? เอ่อ อันนี้เริ่มไม่มั่นใจเท่าไหร่ และถ้าถามว่าว่ารู้สึกอย่างไร ผมจะขอบอกเป็นข้อๆเลยละกัน

1.ท่าทางมันดูตลกเป็นบ้าเลยครับ กางแขนสองข้างและกำหมัด เดพาเหรดขาตรงอย่างกับหุ่นยนต์อ่ะ แข็งทื่อเลย

2.ท่าต่อสู้มันดูไม่สมจริงและบอกได้ว่าไม่เชื่อครับ มันจะรุนแรงอย่างนั้นเชียว

3.การใช้ฝ่ามือปัดป้องและโจมตี พอเดาได้จากหลัก “มวยหย่งชุน” ที่ใช้อ่อนสยบแข็ง ใช้แรงคู่ต่อสู้กลับมาโจมตีตนเอง

4.ถ้าผมเป็น “เดียว ชูพงศ์” ผมคงถามคำเดียวว่า “เมิงจะนวดหน้าตูทำไม ตบเอาหน้าเด้งเหรอ”

โดยรวมฉากแอ็คชั่นมีการโชว์เทพและผ่อนแรงของจา พนมไปได้เยอะ เชื่อว่าไม่เหนื่อย ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องใช้สลิงหรือสตันท์แน่นอน (จะใช้ทำไมเพราะไม่มีใครเตะตัวมันได้เลย) แต่ถามว่ามีฉากสวยๆมั้ย มีครับ โดยเฉพาะฉากต่อสู้บนหลังช้างที่สวยงามเอามากๆครับ โดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางอากาศ

สุดท้ายที่อยากเอ่ยคือ “คุณจา พนมครับ กล้ามแขน ขา อก ท้องและหลัง คุณหายไปไหนหมดครับ หาแทบไม่ได้เลย”



ส่วนประกอบอื่นๆนั่นไม่มีอะไรต้องพูดถึงมากมายเพราะถ่าไม่นับว่านักแสดงท่านอื่นเป็นดาราแล้วนั้น นั่นก็คือตัวประกอบดีๆนี่เอง

-หม่ำ ยังคงรียกเสียงหัวเราะได้ทุกครั้งที่ออกมา แม้จะไม่มีบทมากก็ตาม

-จ๊ะจ๋า สวยครับ -_-‘ พยายามจะเอาฮากับ น้อย...นอย..น่อย...น้อย ใช่มั้ย เห็นคนฮากันทั้งโรงหนัง

-อาหนิง ยังคงมาดดีอยู่ตลอดแม้จะเป็นพระก็ตามเหอะ

โดยรวมตัวหนังไม่ถึงกับแย่มากแต่อาจผิดหวังสำหรับคนที่คาดหวังไว้สูง หนังยังคงมีฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ สวยๆ มีตลกบ้างสลับกับดราม่า แต่อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ยังเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ ยังไงก็ยังทำเงินอยู่ดี และในอนาคต ถ้าจะมีองค์บาก 4 หรือเรื่องอื่นๆของจา พนม ผมก็ยังมั่นใจว่าคนก็ยังคงดูกันต่อไป รวมถึงผมด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงคิดถึงแม้ไม้มวยไทยที่รุนแรงและดุเดือด สวยงาม ในองค์บาก 1 อยู่ดี อย่าลืมนะครับว่า เฉินหลงสามารถสร้างชื่อและหากินได้ตลอดชีวิตด้วยมวยจีนของเค้า เจ็ท ลี ก็เช่นกัน แล้วทำไมจา พนม ไม่ใช้มวยไทยนี้ที่เคยสร้างชื่อให้คุณ ต่อยอดและสร้างความสำร็จอย่างต่อเนื่องในระดับโลกล่ะครับ มวยไทยมีคุณคนเดียวที่ทำได้ ไม่มีซ้ำใครแน่นอนครับ

ขอบคุณครับ

บทวิจารณ์และ สปอยล์โดย SeaFreeman








เพิ่มเติมข้อมูลครับ

โดย น้องจั้ง

หลังจากเคยเล่าให้ฟังว่า องค์บาก 3 จริงๆ แล้วโดยตัวมันเองเป็นหนังเฉพาะกลุ่ม เนื้อหนังและวิธีการนำเสนอนั้นจัดว่าเป็นหนังแนวมาเชียลอาร์ตโบราณ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้อาจไม่ถูกใจมหาชน เพราะหนังแนวนี้ถือว่าเอาต์ไปนานแล้ว แต่สำหรับคอหนังที่คลั่งไคล้แนวกำลังภายในถือว่าหนังเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ไม่ได้ลวก ไม่ได้เลวทราม แต่ก็ไม่ได้ดีเยี่ยม อ่านตัวเต็มได้ที่นี่http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9228404/A9228404.html

มาคราวนี้ อยากคุยถึงบางประเด็นที่อยากชมเชยในความพยายามบางอย่างสำหรับองค์บาก 3 ...โดยคุยแบบคนที่ชอบหนังแนวกำลังภายในนะครับ

หากจำกันได้ราวสิบกว่าปีก่อน(มั้งผมขี้เกียจค้นวิกิพิเดียนะ) มีหนังเรื่องหนึ่งของ ฉีเคอะ คือเรื่องเดชไอ้ด้วน แขนหลุดไม่หยุดแค้น ผมดูองค์บาก 3 แล้วนึกถึงหนังเรื่องนี้ในบางประเด็น ดังนี้

1. ในเรื่องเดชไอ้ด้วนแขนหลุดไม่หยุดแค้น ถูกฉีเคอะสร้างขึ้นโดยกระแสของหนังกำลังภายในยุคนั้นกำลังถึงช่วงตันอีกครั้งหนึ่ง หากยุคชอว์ บราเทอร์คือยุคทองของหนังกำลังภายใน ยุคหนังกังฟู(ทำนองไอ้หนุ่มหมัดเมา ไอ้หนุ่มนั่น ไอ้หนุ่มนี่) ก็เป็นวิวัฒนาการหนึ่งของหนังมาเชียล อาร์ต ผู้บุกเบิกคือ บรูซ ลี และมาถึงยุคทองของ เฉินหลง หยวนเปียว หงจินเป่า หลังจากยุคกังฟู หนังมาเชียลอาร์ต(สายฮ่องกง ไต้หวัน) ก็แตกออกไปเป็นสองไลน์ ไลน์หนึ่งคือดึงกลับมายุคปัจจุบันทำหนังให้ทันสมัยขึ้น คิวบู๊ต่อเนื่องขึ้นผู้บุกเบิกคือ เฉินหลง กับหนังตระกูลฟัด อีกไลน์หนึ่งคือ หนังกำลังภายในที่ถูกสร้างด้วยโปรดักชั่นที่ดีขึ้น ฉาก เสื้อผ้า ทำให้สมจริงตามประวัติศาสตร์ ผู้บุกเบิกยุคนั้นคือ ฉีเคอะ ด้วยโปรเจค์ เดชคัมภีร์เทวดา.....

การแตกออกทั้งสองไลน์สร้างคุณูปการให้หนังมาเชียลอาร์ต ยืนยาวต่อมาได้แม้จะหมดยุคทองของชอว์ บราเทอร์แล้ว ผมจำประโยคหนึ่งได้ ตอนที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์วู้ดดี้(เทปนี้วู้ดดี้สัมภาษณ์เฉินหลงถึงฮ่องกง) วู้ดดี้ถามว่าคิดยังไงกับจา พนม เฉินหลงตอบประมาณว่า “จา โชคดีมากเพราะเห็นมาหมดแล้ว ว่าหนังมาเชียลอาร์ตมีกี่แบบ แต่เราต้องค่อยๆ ทดลองทำ จากหนังกำลังภายใน ชักจะตันก็มาทำหนังแบบสมัยใหม่ แต่จาเค้าได้เห็นหมดแล้ว...”

หลายปีผ่านไป หนังตระกูลฟัดก็เริ่มถึงทางตันเหมือนกัน ไม่ได้เป็นหนังทำเงินถล่มทลายแล้ว อาจเป็นว่าเฉินหลงก็แก่ขึ้น (หลังจากช่วงนี้เฉินหลงก็พัฒนาการไปฮอลลีวู้ดสำเร็จ) ส่วนหนังกำลังภายใน แบบฉีเคอะที่แตกออกมาอีกไลน์หนึ่ง ก็ถึงทางตันเหมือนกัน เมื่อมีหนัง โหนสลิง ปล่อยพลังระเบิด ออกมาในยุคนั้นตามรอยเดชคัมภีร์เทวดาเต็มไปหมด บวกกับฮอลลีก้าวเข้าสู่ยุคซีจีเต็มรูปแบบกับจูราสสิคปาร์ค ทำให้ฉีเคอะต้องทำการ “สร้างยุทธภพ” สำหรับหนังกำลังภายในใหม่อีกครั้ง.....

หากในยุคชอว์ บราเทอร์ ยุทธภพถูกแสดงออกด้วยโปรดักชั่นที่ยังไม่แตกต่างจากละครเวที หรืองิ้วมากนัก
ยุคเดชคัมภีร์เทวดา คือการเติมเต็มด้านโปรดักชั่นและสเปเชี่ยลเอฟเฟคท์ แบบเหนือจริงเข้าไป
แล้วฉีเคอะก็สร้างยุทธภพใหม่อีกครั้ง ด้วย เดชไอ้ด้วนแขนหลุดไม่หยุดแค้น ..... แก่นแกนของหนังเต็มไปด้วยบทสนทนาของนางเอกที่เฝ้าถามกับตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่อง ยันจบว่า “อะไรคือยุทธภพ” ฉีเคอะได้ตอบสนองด้วยภาพของยุทธภพที่ไม่มีใครคาดหวังมาก่อน ภาพของยุทธภพที่ดิบ เถื่อน และเรียลลิสติก มากๆ เช่น พระยอดฝีมือก็ถูกนักเลงข้างถนน รุมอัดจนตายอย่างอนาถ ความโรแมนติคของสาเหตุของการแขนขาด ก็ปรับแต่งใหม่ให้พระเอกถูกกับดักแทน ภาพสาวชาวไร่ช่วยพระเอกแทนที่จะเป็นภาพสาวที่แสนสวย ก็เป็นสาวชาวไร่(ในยุคนั้น)ที่น่าจะเป็นในความเป็นจริงคือทั้งซอมซ่อด้วยความยากไร้ ทั้งอัปลักษณ์ ทุกคนในเรื่องต้องทำมาหากิน (สำนักพระเอกหากินด้วยการตีดาบ พระเอกตอนพิการแล้วต้องไปเป็นเด็กเสริฟ) การเลือกใช้ดาบครึ่งเล่มไม่ใช่เพราะเหตุผลโรแมนติคหรือศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นเพราะไม่มีเงินซื้อดาบปกติแบบชาวบ้านเค้า ฯลฯ

นี่คือความพยายามในการ “สร้างยุทธภพ” ใหม่อีกครั้งของฉีเคอะ ....แต่ผลลัพท์ของมันก็อย่างที่ทราบหนังไม่ได้รับการตอบรับในเชิงรายได้มากนัก ..... กลายเป็นว่าหลังจากนั้นหนังกำลังภายในแนวซีจี อย่างฟงหวิน หรือซูซันของฉีเคอะเองในภายหลังกลับได้รับการตอบรับมากกว่า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็ชื่นชมความพยายามในการสร้างยุทธภพอีกแบบของฉีเคอะ ในเดชไอ้ด้วน

2. ความพยายามสร้าง “ยุทธภพไทยๆ ขององค์บาก 2-3” อย่างที่เฉินหลงเคยบอก จาโชคดีที่ทำหนังในยุคนี้ เมื่อคนทำหนังมาเชี่ยลอาร์ต ได้ทดลองสร้างมาหลาย ๆ แบบแล้ว จาก็น่าจะสร้างหนังได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกอีก ก็ถูก หนังอย่างองค์บาก 1 หรือ ต้มยำกุ้ง เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีหนังตระกูลฟัด เป็นแบบอย่างหรือเคยบุกเบิกตลาดมาก่อน แต่สำหรับองค์บาก 2-3 นั้น จากลับต้องสร้างยุทธภพไทย ๆ ที่ไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน....

เป็นภาระที่หนักพอๆกับที่ฉีเคอะต้องสร้างยุทธภพใหม่ครั้งแรกสำหรับ เดชคัมภีร์เทวดา ครั้งที่สองกับ เดชไอ้ด้วน หรือครั้งที่สามยุทธภพ(เทวดา)แบบซีจีสำหรับเทพยุทธซูซัน ยิ่งไม่นับว่า เดชคัมภีร์เทวดานั้นสร้างบนฐานของนิยายกำลังภายในของกิมย้ง(กระบี่เย้ยยุทธจักร) เดชไอ้ด้วนคือการรีเมกหนังยุคชอว์ บราเทอร์(ถ้าจำไม่ผิดเวอร์ชั่นชอว์ฯ กำกับโดยจางเชอะ หวังยู่แสดงนำ) และซูซันก็เป็นการรีเมกเหมือนกัน แต่องค์บาก 2-3 นั้นต้อง “ปั้นยุทธภพไทย” ขึ้นมาจาก ศูนย์เลยทีเดียว

เนื้อเรื่องอาจได้แรงบันดาลใจจากหนังมาเชียลอาร์ตโบราณได้ แต่ต้องปรับให้เข้ากับบริบทไทยๆ ศาสตร์ ปรัชญาในการต่อสู้ ต้องกลับมาค้นมรดกไทย แล้วสร้างมันขึ้นมาในหนังให้ได้ ..... ภาพยุทธภพขององค์บาก 2-3 ย้อนไปในประวัติศาสตร์ที่อโยธยาแผ่อำนาจไปทางตะวันออกติดชายแดนขอม ถูกสร้างขึ้นมาอย่างหนักแน่นไม่ลอยละล่องไร้ที่มาที่ไป ทั้งรายละเอียดทางวัฒนธรรมที่นำเสนอแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะสร้าง “ยุทธภพไทยๆ” ให้ดีที่สุด สมจริงสมจังที่สุด (ส่วนท่านชมแล้วรู้สึกอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง-ฮา)

อยากเปรียบเทียบว่าการสร้างบริบทยุทธภพที่ไม่เคยมีมาก่อนให้ดู “เข้าท่า” นั้นยากอย่างยิ่ง เราคงนึกไม่ออกว่าถ้าเปลี่ยนจากยุทธภพจีนหรือไทยแบบที่เราเคยเห็นจากหนังจีนและองค์บาก 2-3 นั้น ลองเป็นยุทธภพอินเดีย ยุทธภพอาหรับ จะเป็นอย่างไร ? แล้วถ้าชาวอินเดียจะสร้างหนังจอมยุทธ์อินเดียมันจะยากแค่ไหน (เพราะเค้าไม่มีหนังจอมยุทธ์อินเดียโบราณเป็นต้นแบบให้มาพัฒนาต่อ)


ดังนั้นแม้ว่าองค์บาก 3 จะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศ แต่หากผมชื่นชมกับความพยายามในการสานต่อตำนานหนังมาเชียลอาร์ตของ ฉีเคอะ หรืออั้งลี หรือ จางอี้โหมว ผมคงต้องคาราวะให้จาพนมและพันนา ในการสร้างจุดเริ่มต้นของตำนานหนังมาเชียลอาร์ตไทย ๆ สำหรับองค์บาก 2-3 อย่างยิ่ง และเหนืออื่นใดขอคาราวะความกล้าที่จะทิ้งแนวทางที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองในองค์บาก 1 และต้มยำกุ้ง มาสร้างหนังเรื่องนี้