Search
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วิจารณ์ Salt
นับเป็นปรากฏการณ์อีกครั้งสำหรับหนังที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขบท หลังจากที่ต้องเปลี่ยนตัวนักแสดงนำกระทันหัน กับหนังแอ๊คชั่นมันๆเรื่องนี้ Salt สวยสังหาร ซึ่งเดิมทีทางผู้กำกับได้วางตัวว่าเป็น ทอม ครูซ มารับบทเป็นเอ็ดวิน เอ. ซอลท์ ซึ่งเป็นตัวละครตัวหลักสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่ทว่าด้วยคาแรกเตอร์ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับ “อีธาน ฮันต์” ในมิสชั่น อิมพอสสิเบิ้ล จึงทำให้ ทอม ครูซ คิดอยู่นาน และปฏิเสธบทนี้ไป และบทนี้ก็มาลงตัวที่ “แองเจลีนา โจลี่” ด้วยการปรับเปลี่ยนให้บทนำของเรื่องกลับเป็น ผู้หญิง แทนที่จะเป็น ชาย เหมือนเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อตัวละครหลักมาเป็น เอเวอลีน ซอลท์ แทน
ตัวหนังเริ่มเล่าเรื่องด้วยการเปิดฉาก ซอลท์ ถูกจับในเกาหลี ฐานเป็นสายลับ เธอถูกทรมานด้วยการกรอกน้ำมัน เพื่อให้เธอรับสารภาพ แต่แล้วทางการสหรัฐฯ ก็ได้ส่งคนมาช่วยเหลือเธอ ด้วยการแลกเปลี่ยนตัวประกัน ทำให้เธอรอดพ้นวิกฤตเลวร้ายนี้มาได้ แต่ความจริงแล้วคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอนั้น เป็นชายหนุ่มที่พร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอ
หลังจากนั้น ซอลท์ ก็ดูเหมือนว่าจะได้ดำเนินชีวิตไปตามวิถีของผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงรัก จนกระทั่งเมื่อสายลับจากรัสเซียนายหนึ่งปรากฏตัว มันจึงเป็นเหมือนตัวระเบิดเวลาที่ทำให้ทีมงานเกิดความระแวง และคาดว่า ซอลท์ นั้น คือสายลับรัสเซียแฝงตัวมา และกลายเป็นจุดเริ่มของความมันในการตามไล่ ตามล่า สายลับ อย่างถึงพริกถึงขิง ในส่วนนี้น่าจะพูดได้ว่า ฝรั่ง หูเบา ที่เชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ เพียงแค่สืบดูจากประวัติข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ก็เชื่อแล้วว่า เพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นสายลับ
ในเรื่อง ซอลท์ ได้มีการอธิบายถึงความเป็นสายลับ ด้วยตัวละครเองในคำพูดที่สื่อออกมาว่า สายลับที่ดีจะต้องมีสมาธิ หากมีความรัก หรือคนรัก นั่นจะทำให้การเป็นสายลับด้อยลง ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มที่ซอลท์ฝากชีวิตไว้ด้วยการแต่งงาน (คนเดียวกับที่ช่วยเหลือให้เธอพ้นจากคุกเกาหลี) กำลังตกอยู่ในอันตราย และนั่นจึงทำให้ ซอลท์ ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยเหลือชายคนรักให้รอดพ้นวิกฤตการณ์เลวร้ายนี้ให้ ได้
ในเวลาเพียงแค่เริ่มต้น มีการปูพื้นตัวละครหลักในการเป็นจารชน หรือสายลับ ให้คนดูได้เข้าใจปูมหลังได้ดี ยิ่งในช่วงที่ แองจี้ ที่รับบทเป็น ซอลท์ จะต้องเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากเจ้าหน้าที่ซีไอเอไปเป็นสายลับก็ทำได้ดี ทำให้คนดูเชื่อว่า แองจี้ คือ ซอลท์ ซึ่งถูกฝึกปรือมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแก้ปัญหา วิธีการใช้อุปกรณ์เคมีประกอบระเบิด ซึ่งตัวหนังสื่อออกมาให้คนดูเห็น และร่วมลุ้นไปกับเธอโดยเฉพาะเมื่อเธอแปลงโฉมกลายเป็นสายลับสาวผมดำ ตาคม การแสดงออกทางสีหน้า แววตา ของเธอ ดูแล้วให้ความรู้สึกว่า นี่แหละ ซอลท์ ล่ะ
อีกทั้งการสลับไปยังภาพในอดีตของ ซอลท์ ก็ทำได้อย่างลงตัว ไม่มีสะดุดตา ทำให้คนดูอย่างเรารู้ว่าความจริงแล้วตัว ซอลท์ ตั้งแต่เด็กเป็นใคร และถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน และ โดยใคร ซึ่งจุดนี้นี่เองที่กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้คนดูไขว้เขว ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อว่า ซอลท์ บริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ หลังจากที่ถูกปรักปรำ
ความสนุกเริ่มเพิ่มขึ้นในส่วนของการตามไล่ล่า ระหว่างเจ้าหน้าที่ซีไอเอ กับ ซอลท์ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหนีของซอลท์ จากรถยนต์เจ้าหน้าที่ ที่คนดูก็ลุ้นกันสุดตัวเหมือนกันว่าอยากให้เธอรอดพ้น นับเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่ยังไม่เปิดเผยให้คนดูรู้ว่าแท้จริงแล้ว ซอลท์ เป็นสายลับ ที่แฝงตัวมา หรือว่าเป็นสายลับที่กลับใจแล้วกันแน่ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้คนดูอยากติดตามว่าจะเกิดอะไร เหตุการณ์เป็นแบบไหน และ ซอลท์ จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์จวนตัวแบบนี้
ฉากแอ๊คชั่น ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นระเบิดตูมตาม แต่ก็มีน้ำหนักที่พอเหมาะกับเรื่องราวที่นำเสนอ เสียงดนตรีประกอบที่มาในจังหวะพอดีก็ยิ่งเป็นตัวเสริมให้เกิดความน่าดูในตัว หนัง ประกอบกับเหตุการณ์ สถานการณ์ที่ไล่เรียงมา ก็ดูมีเหตุมีผล มีการใช้ความคิดมากกว่าจะเป็นแค่หนังจารกรรมธรรมดาทั่วไป ถึงแม้ว่าอาจจะมีหลายคนที่พอจะคาดเดาทางหนังได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังคงรอลุ้นกับปฏิบัติการของนักแสดงคนนี้ แองเจลีน่า โจลี่ น่าจะพูดได้ว่าเธอมีพลังดารา และพรสวรรค์ สะกดสายตาคนดูให้ตรึงอยู่บนหน้าจอได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบทพะบู๊ที่ไม่น่าเชื่อว่า นักแสดงสาวลูกแฝดอย่างเธอ ยังมีกำลังวังชาออกหมัดได้มากมาย รวมถึงการต่อสู้ด้วยอาวุธต่างๆ ซึ่งดูคล่องแคล่ว ไม่ต่างจากตอนเป็น ทูม ไรเดอร์ และออกจะคล่องกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ขอบคุณบทวิจารณ์ โดย ซายากะ โฮมส์-ดอยล์
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก FIRST LOVE
เป็นหนังที่เยี่ยมมาก ๆ ครับ น่าจะเทียบได้กับรถไฟฟ้ามาหานะเธอได้เลย หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
ดูแล้วนึกถึงตอนเรียนมัธยม
เนื้อหาของหนังก็ดีมาก แม้จะเป็นสูตรสำเร็จหนังรักมากไปหน่อย
มาริโอ้ ก็พัฒนาฝีมือการแสดงได้ดี ใบเฟิร์นก็น่ารัก
ฉากก็สวยงาม เพลงประกอบก็เพราะ
ช่วงสนุก ก็สนุก ช่วงซึ้งก็ซึ้ง เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ
เป็นหนังไทย โรแมนติก คอมานดี้ ที่สมบูรณ์มากเรื่องหนึ่งทีเดียว
แต่ก็มีจุดไม่เนียนนิดหน่อย ตรงพัฒนาการของนางเอก (แต่บางคนที่ไปดูก็ว่าตอนเด็กดำตอนโตอาจขาวก็ได้ ก็ว่ากันไป)
ส่วนอีกจุดนึงก็คือมอเตอร์ไซค์สุดทันสมัยมีใช้กันตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อน อันนี้ถึงจะดูแปลก ๆ ก็ไม่ทำให้หนังเสียอรรถรสแต่ประการใด
เป็นหนังที่แนะนำให้ทุกคนได้ไปดูกันนะครับ
คะแนน จริง ๆ อยากให้ 9/10 แต่อดใจไม่ไหว ให้ 10 เต็มไปเลยแล้วกันนะครับ
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วิจารณ์ โป๊ะแตก
วิจารณ์ Prince of Persia: The Sands of Time
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Be With You (Return)
ฟันธง : Be with You : Be with Me...once and again...
ผมพยายามแล้วนะครับ พยายามมากๆ ด้วย ในการที่จะกลั้นใจไม่ให้สะเทือนใจมากขนาดนี้กับ Be with You หนังรักโรแมนติกจากประเทศญี่ปุ่น ที่โกยเงินและโกยกล่องกันเป็นที่สนุกสนานในญี่ปุ่น ...ผลเหรอครับ? ผมแพ้ยับครับ นั่งคอตกปาดน้ำตากันไม่ห่วงหล่อเลยทีเดียว
มีหลายๆ อย่างในหนังที่ผมไม่อยากเชื่อ ผมไม่อยากเชื่อว่า นี่เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ของผกก.Nobuhiro Doi ผมไม่อยากจะเชื่อว่าพระเอก Shido Nakamura จะลบภาพไอ้โล้นโหดในเรื่อง Ping Pong ได้ และผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า นางเอก Yuko Takeuchi จะน่ารักสดสวยมากกว่าที่เคยเห็นเธอมาจากเรื่องก่อนๆ ได้อีก (ขออภัยหากส่วนตัวไปนิ๊ด) แต่สิ่งหนึ่งที่ Be with You ทำให้ผมเชื่อคือผมเชื่อว่า Mio เธอกลับมาจริงๆ ในฤดูฝนของวันครบรอบการตาย 1 ปีของเธอ และจุดนี้เองที่บอกผมว่า ตัวหนังประสบความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งค่อน ที่เหลือก็เพียงแค่พยายามประคองเนื้อหาที่เหลือไม่ให้ออกทะเลจนเกินไป แค่นี้ก็จับผู้ชมได้อยู่หมัดแล้ว
แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าผกก. Doi จะเป็นพวกลัทธิซาดิสต์ที่ชอบทรมานคน ด้วยการให้ผู้ชมร้องไห้จนร่างกายขาดน้ำตายหมู่กันคาโรง เพราะตัวหนังไม่หยุดอยู่เพียงแค่ “ประคองเรื่องที่เหลือไม่ให้ออกทะเล” แต่กลับนำพล๊อตที่ดีและน่าสนใจมากอยู่แล้วในระดับเกรด A ซึ่งหากเป็นหนังรักเรื่องอื่นๆ เรื่องราวแค่นี้ก็คงจะ “ได้ใจ” ผู้ชมมากพอจนโกยเงินโกยทองได้อยู่แล้ว แต่ Be with You นำพล๊อตเรื่องระดับ A นี้ มาต่อเติมเสริมความจี๊ดจนกลายเป็นพล๊อตระดับ “A พิเศษ (เพิ่มเส้นเพิ่มลูกชิ้น)” โดยการสอดแทรกมุขที่คัดมาแล้วว่าจี๊ดมาก (มากจนถึงขั้นดิ้นกันกลางโรง ) มุขแล้วมุขเล่าใส่เข้ามาในเนื้อเรื่องที่แสนจะแน่นปึ๊ก แต่อ่อนโยนได้ถูกใจคอหนังรักจนนั่งดูไปก็ร่ำๆ อยากโทรไปบอกรักแฟนกันซะเดี๋ยวนั้น
อันที่จริง ผมพบว่าการเขียนถึง Be with You นี้ เป็นการเขียนถึงหนังที่ยากมากๆ เรื่องหนึ่ง ประการแรกคือผมมักจะบรรยายหนังที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ(เช่นเรื่องนี้) ออกมาเป็นคำพูดได้ยากโดยไร้สาเหตุอยู่เสมอ ประการที่สอง หลายๆ ช่วงในหนังอยู่ในขั้น “ความลับทางราชการ” ห้ามเผยแพร่โดยเด็ดขาด(ใครฝ่าฝืน ผมขอแช่งให้แฟนหนีไปดูกับกิ๊ก) และประการสุดท้าย ซึ่งผมเห็นว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดของหนัง คือบทหนัง Be with You นั้น มีรายละเอียดซับซ้อนยอกย้อนยิบย่อยมากมายแฝงเร้นกาย รอให้คุณจะจับจุดจี๊ดเป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่า เมื่อคุณชมหนังจบ คุณสามารถมานั่งย้อนนึกถึงมุขหวานอันนั้น มุขซึ้งอันนี้ที่คุณสังเกตหรือนึกไม่ทัน ณ ขณะที่ดูได้อีกเป็นคุ้งเป็นแคว
หากจะมีข้อติติงกันอยู่บ้าง (ตรงนี้ผมขอสารภาพว่า ผมทำไปตามหน้าที่บังคับจริงจริ๊ง...ลึกๆ แล้ว ผมไม่ได้แคลงใจอะไรเลยแม้แต่น้อย) คงอยู่ที่หลายๆ ช่วงในหนังดูคล้ายๆ ว่าจะ ‘ได้รับอิทธิพล’ จากหนังเกาหลีบ่อยไปสักหน่อย หลายๆ ฉากดูคุ้นๆ ตาพอสมควร แต่กระนั้น ผมขอยืนยันว่าเป็นการได้รับอิทธิพลที่นำ “ของดี” มาสานต่อให้เป็น “ของดีมากถึงมากที่สุด” การหยิบยืมเหล่านี้ล้วนนวลเนียนเป็นเนื้อเดียว สอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล รับส่งกับตัวเรื่องที่วางเอาไว้และที่สำคัญคือ ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาทีเลยว่าใส่มาเพื่อขายของกันเท่านั้น (เอ๊ะ นี่ผมกำลังพูดถึงข้อเสียหรือข้อดีกันนะ?) ...เอาเป็นว่า ผมเปิดใจกันตรงๆ เลยแล้วกันว่าข้อเสียของ Be with You นั้นมีอยู่บ้าง แต่ผมมองข้ามมันไป ด้วยความที่ผมเลือกที่จะใช้ใจดูมากกว่าใช้ตาทั้งสี่ของผม
ดารานำทั้งสามคน ล้วนได้ใจผมไปเต็มๆ และลุ้นให้ได้ “เข้าชิงรางวัลกันยกบ้าน” เริ่มจาก Yuko ที่สวยสง่า สดใส น่ารักมากขึ้นกว่าเรื่องก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด(กับคอสตูมที่ดูดีขึ้นจาก Yomigaeri จนน่าดีใจแทน) ฝีมือทางการแสดงของเธอในเรื่องนี้นิ่ง ลึกและเข้าถึงตัวละครได้ในระดับดาราแถวหน้าของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ในขณะที่บทลูกชายของ Akashi Takei ก็น่ารักน่าชัง สดใสแต่ไม่แก่แดด ไม่บีบน้ำตาจนหมดอารมณ์เหมือนหนังขายเด็กเรื่องอื่นๆ และสุดท้ายกับ Shido ที่เปลี่ยนตัวเอง “จากหน้ามือตัวเองเป็นหลังเท้าชาวบ้าน” จากไอ้โหดในเรื่อง Ping Pong มาเป็นคุณพ่อเฉิ่มเบ๊อะที่แสนน่ารักได้น่าเชื่อถือมากอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ส่วนงานด้านเทคนิคของหนังอยู่ในเกณฑ์เหนือมาตรฐานแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านภาพที่นอกจากจะงดงามทรงพลังแล้ว ยังสื่อถึงอารมณ์ของตัวละครและส่งความหมายแฝงมายังผู้ชมได้ดี อีกทั้งดนตรีประกอบที่รับใช้ตัวหนังดีเยี่ยม สามารถเร้าอารมณ์ผู้ชมได้แทบจะทันทีที่ขึ้นโน้ตตัวแรก ในขณะที่ไม่ไพเราะ และเป็นเอกภาพมากจนไปบดบังเรื่องราวของหนัง
หากมองด้วยมุมมองของการทำภาพยนตร์แล้ว Be with You อาจไม่มีคุณค่าครบถ้วนเต็มร้อย แต่หนังเรื่องนี้มอบคุณค่าทางจิตใจให้ผู้ชมจนเกินร้อย เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเรียกได้เต็มปากว่า มีศักยภาพมากพอที่จะยกระดับจิตใจผู้ชมได้ อย่างน้อยๆ ตัวหนังจะทำให้คุณตระหนักได้ว่า ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนั้น ทรงคุณค่าเพียงไรกับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ ทั้งนี้ ผมคงไม่แสดงความชื่นชอบ Be with You อย่างออกนอกหน้ามากไป จนกระทั่งนำไปเทียบกับหนังญี่ปุ่นโรแมนติกในตำนานอย่าง Love Letter ของผกก.ชุนจิ (แม้ว่าโดยส่วนตัวจริงๆ แล้ว ผมจะคิดเช่นนั้นก็ตาม) เอาเป็นว่าหาก Nobody Knows เป็นหนังฟ้าประทานของหนังญี่ปุ่นแนวดรามาในปีนี้ ผมขอยกให้ Be with You เป็นหนังฟ้าประทานในประเภทหนังรักโรแมนติกแล้วกัน ....และผมไม่ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า ‘ในปีนี้’ นะครับ....นีอุงลองแล้ว เยี่ยมยอดมากๆ ครับ]!!
official site : www.bewithyou.co.kr ,http://www.tbs.co.jp/movie/english/bewithyou/
neunth@yahoo.com นีอุง นีอุง 07/05/05 | |
โดยส่วนตัวแล้ว เรื่องนี้ถ้าไปดูกะแฟนรักกันตายห่าเลย ถ้าไปดูกะกิ๊ก....ข้ามไปก็แล้วกัน ถ้าไปดูพ่อแม่ลูกก็ดีมากเหมือนกัน เพราะหนังเกี่ยวกับความรักระหว่าง พ่อแม่ลูก ระหว่าง พ่อ-ลูก แม่-ลูก พ่อ-แม่ ครบเลย ถึงเคยดูมาแล้วไปดูอีกรอบกับคนที่รู้ใจผมว่าคุ้มนะ |
The Message (Feng sheng)
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิจารณ์ The Losers
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
3 ย่าน หนังที่เน้นความสัมพันธ์หญิงชาย
บทความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เมื่อได้ยินคำว่า 3 ย่าน หลายคนคงนึกไปถึงตลาดแถวจุฬา ซึ่งมีอาหารขึ้นชื่อที่ได้ยินเรื่อยมาคือ โจ๊ก หรือถ้าเข้าไปอีกหน่อยก็จะนึกถึงสเต๊กจานโตในราคาประหยัดบนชั้น 2 ของตลาด แต่เมื่อเห็นโปรโมท ทำให้เข้าใจว่า เป็นชื่อหนังเรื่อง 3 ย่าน นั่นเอง ซึ่งแรกๆ เดาว่าน่าจะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับตลาดแน่นอน แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหนัง 3 ย่านเค้ามีคอนเซปต์ เป็นเรื่องราวเดียวกัน แต่แบ่งกันกำกับคนละย่านของ 3 ผู้กำกับ พิง ลำพะเพลิง, ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค, โก๊ะตี๋ อารามบอย (เจริญพร อ่อนละม้าย)
โดยรวมแล้วหนัง 3 ย่าน เป็นเรื่องราวที่ดำเนินแบบต่อเนื่องด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นของแต่ละย่าน โดยย่านแรก จะมีตัวเชื่อมต่อไปยังย่านที่ 2 และจากย่านที่ 2 ก็ต่อไปย่านที่ 3 ซึ่งในแต่ละย่านก็จะแบ่งแยกเรื่องราวของตนเองออกไป
ย่านแรก เป็นการกำกับของ นักเขียน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้มีอารมณ์ขัน “พิง ลำพระเพลิง” กับเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าจอดรถทัวร์แห่งหนึ่ง เมื่อน้าค่อมพนักงานขับรถ ทัวร์(ค่อม ชวนชื่น) กำลังวิ่งไล่จับจู๋จี๋กับตุ๊กกี้บัสโฮสเตสสาวสวย (เป้ย ปานวาด) ขณะจะเข้าด้ายเข้าเข็มก็บังเอิญเหลือบไปเห็นศพหญิงสาวในรถ ทั้งคู่รีบมาบอกกับเจ๊เกี๊ยว(โซเฟีย ลา) เจ้าของรถทัวร์ ซึ่งกลัวว่าเรื่องดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อ ธุรกิจเดินรถ ทั้ง 3 คนจึงร่วมมือกันปฏิบัติการแผนอำพรางศพโดยตั้งใจจะเอาศพไปทิ้งระหว่างทาง การเดินทางที่วุ่นวายของทั้ง 3 คนกับผีสาวสุดเฮี้ยนก็เริ่มต้นขึ้น และเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกเมื่อตำรวจ(อังเคิล) จอมสอดรู้สอดเห็นขอเดินทางไปด้วย ภารกิจใหม่ของทั้ง 3 คนคือ ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ผีหลอกพวกตนแต่ห้ามหลอกตำรวจและผู้โดยสาร ก่อนที่เรื่องราวบนรถทัวร์จะเกิดความโกลาหลไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ พระสงฆ์ ก็ต้องวิ่งหนีผีสาวกันจ้าละหวั่น
ย่านถัดมาเป็นผลงานกำกับของ “ต้อม ยุทธเลิศ” ผู้กำกับแนวหน้าในเมืองไทย ซึ่งเรื่องราวในย่านที่ 2 นี้ เป็นเรื่องของสองหนุ่ม หอย (เสนาหอย) และ บิ๊ก (ทองภูมิ) เพื่อนที่เคยรักกัน แต่ทว่าผิดใจกันเพราะหอย แย่งแฟนของบิ๊กมาครอบครอง และเมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หอยเกิดความระแวงว่า แพนเค้ก อดีตแฟนของบิ๊กเกิดปันใจ เขาจึงว่าจ้างมือปืนตามล่าบิ๊ก แต่ทว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรเพราะหอยให้ไปผิดซอง เรื่องกลับกลายเป็นว่า หอย ต้องกลายเป็นคนถูกล่าหัวเสียเอง
และย่านที่ 3 กับงานกำกับของผู้กำกับสุดฮา “โก๊ะตี๋ อารามบอย” กับเรื่องราวของผู้กำกับในกองกำกับหนัง …. รุ่งขึ้นของวันใหม่โก๊ะ(โก๊ะตี๋) ผู้กำกับหนังตกอับกำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่ที่จะพิสูจน์พื้นที่ของผู้กำกับหนัง ของตัวเองที่เหลือน้อยเต็มที ซึ่งมีแอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) พระเอกตกยุคแสดงนำ และมีเป้ย (กิ๊ฟซ่า) นักแสดงสาวผู้กำลังหวังไต่เต้าทางการแสดงร่วมเล่นด้วย ซึ่งโก๊ะแอบมีสัมพันธ์สวาทกับเป้ยอย่างลับๆ ปัญหาของโก๊ะกับโปรดิวเซอร์ใหญ่ (ป๋าต๊อบ) ผู้จัดการกองถ่ายจอมป่วน (ลูลู่) อีกทั้งธุรกิจกองถ่ายสุดเปิ่น (ลาล่า) ก็แย่พอแล้ว สำหรับการทำงานกองถ่าย ปัญหากับนักแสดงลืมตัวอย่างแอนดี้ก็ยิ่งทำให้แทบจะกระอักเลือด เหมือนผีซ้ำชะตาซวยโก๊ะมารับรู้ความลับบางอย่างเข้า มันเหมือนรถสิบล้อบี้ทับร่างอวบๆ แล้วถอยมาทับอีกรอบ มันทำให้น้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลหลั่ง โก๊ะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อจบปัญหาทุกเรื่องลงให้ได้
จากย่านที่ 1 ที่ได้ดู น่าจะเป็นย่านที่ดูลงตัวที่สุด ฮาที่สุด ด้วยบทที่เข้าใจง่าย วิธีแก้ปัญหาของตัวละครในย่านนี้ก็เป็นไปในรูปแบบของหนังตลก โดยมีนักแสดงตลกอย่าง น้าค่อม ชวนชื่น มาสร้างเสริมความฮาเข้าไปอีก นอกจากนี้ตัวบทยังเสริมส่งให้ย่านนี้เป็นย่านที่ดูผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีที่สุด ไม่น่าเชื่อว่า “เป้ย ปานวาด” ก็แสดงตลกได้ แต่ที่สำคัญตัวละครอีกตัวที่ตลกไม่แพ้กันคือ “โซเฟีย ลา” ที่เป็นความฉลาดของพี่พิง ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของโซเฟีย ลา ออกมาขายได้อย่างโดดเด่น
ส่วนย่านที่ 2 ของผกก.ต้อม ยุทธเลิศ เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย ที่เน้นอยู่แต่กับเรื่องขนาดของอวัยวะเพศชาย และเหมือนเป็นการดูถูกผู้หญิงว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่ขนาดของอวัยวะเพศเท่านั้น ไม่ได้ดูที่เรื่องอื่นๆ การนำเสนอของย่านนี้จะคล้ายๆกับเชิงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้คนดูรู้ว่ามนุษย์ทุกคนก็หนีไม่พ้นเรื่องราวของการทำศัลยกรรม เพื่อให้คนอื่นชอบ ถือว่าเป็นย่านที่ดูเครียดที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้นักแสดงตลก อย่าง เชอรี่ และ หอย มาร่วมถ่ายทอดด้วย เป็นตอนที่รู้สึกว่า ต้อม ยุทธเลิศ เครียดอะไรมาหรือเปล่า? เพราะมันออกแนวหนังที่คนดูทั่วไปต้องตีความ และพยายามทำความเข้าใจมากเกินไป
ส่วนที่ย่านที่ 3 เป็นการกำกับของ โก๊ะตี๋ อารามบอย ที่ต้องบอกว่าเป็นย่านที่คาดหวังกับความตลกที่สุด แต่ทว่ากลับเป็นย่านที่ไม่เหมือนอย่างที่คาด เพราะเป็นเรื่องราวของผู้กำกับคนหนึ่ง ก็คือ โก๊ะตี๋ ที่โดนหักหลัง จากสาวคนรัก “เป้ย” (กิ๊ฟซ่า) ที่เป็นดาราสาวที่หวังไต่เต้า ใช้ผู้กำกับอย่างโก๊ะมาเป็นสะพาน เพื่อให้ตนเองกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ทว่า เป้ย กลับ ปันใจให้กับ แอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) และเมื่อโก๊ะเผอิญรู้ความจริง ก็เกิดความเศร้า เสียใจ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดบทบาทของแอนดี้ ซึ่งเรื่องราวในย่านนี้เมื่ออ่านคร่าวๆก็จะออกแนวดราม่าอยู่แล้ว แต่ด้วยความพยายาม ดูเหมือนโก๊ะตี๋จะสอดแทรกมุกตลกต่างๆ เข้ามาเผื่อผ่อนอารมณ์ไม่ให้คนดูเครียดตามไปกับตัวหนัง
โดยรวมแล้วทั้ง 3 ย่านเป็นหนังที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย โดยผ่านการนำเสนอที่แตกต่าง ซึ่ง 2 ย่านหลังเป็นย่านที่ดูแล้วออกอารมณ์เครียดไปสักหน่อย แต่ถ้าดูเอาฮาก็ต้องย่านแรก แต่ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบ ความชื่นชม ของแฟนๆ ผู้กำกับแต่ละคนกันด้วย.
บทวิจารณ์จาก mthai
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
The Bounty Hunter
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Shrek Forever After
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
I Love You Phillip Morris
Robin Hood
ฉะนั้นหากดู Robin Hood เวอร์ชั่นนี้จบเมื่อไหร่ กลับถึงบ้านหยิบ Robin Hood ฉบับแอนิเมชั่นของ Disney หรือฉบับคนแสดงที่ Kevin Costner แสดงนำมาดูต่อเลยก็ยังได้ (แถม Robin Hood ภาคนี้ จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นภาคต่อของหนังสงคราม-Epic เรื่องก่อนของผกก. Ridley Scott อย่าง Kingdom of Heaven ได้อยู่ เพราะในตอนจบของ KoH เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ยาตราทัพไปตีเยรูซาเล็ม ในขณะที่ตอนต้นเรื่องของ Robin Hood เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดถอยทัพกลับอังกฤษ)
ซึ่งตัวหนัง Robin Hood ภาคนี้เองก็อธิบายที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวและเป็นการปูพื้นเรื่องราวทั้งหมดเพื่อที่เรื่องราวใน Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่นี้จะสามารถดำเนินต่อไปจนกลายเป็นเรื่องราวของ Robin Hood ในเวอร์ชั่นอื่นๆได้จริงๆ
สองนักแสดงนำชาย-หญิงดีกรีออสการ์ของเรื่อง Russell Crowe กับ Cate Blanchett เล่นได้ดีตามมาตรฐาน(อันสูงลิบ)ของตัวเอง(และถึงจะน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นสองคนนี้ปล่อยพลังดาราเหมือนตอนที่ต่างฝ่ายเล่นเรื่อง Gladiator กับ Elizabeth ข่มกัน แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเสียดายอะไรมากมายเพราะตัวหนังก็ไม่ได้เรียกร้องให้สองนักแสดงปล่อยของออกมาเยอะๆ)
โดยพระเอกของเรื่อง Russell Crowe ไปได้ดีกับบท Robin Hood (ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนครหาว่าหุ่นไม่ให้บ้าง ทรงผมไม่ใช่บ้าง) ทำให้คนดูเชื่อได้จริงๆว่าตัวละคร Robin Longstride ในภายหลังจะกลายเป็นจอมโจร Robin Hood ได้จริงๆ(ไม่ว่าจะเป็น Robin Hood เวอร์ชั่นไหนก็ตาม)
และยังสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดูกับตัวละคร แม้จะไม่เข้มข้นเท่าคราวรับบทเป็น Maximus แต่ก็ไม่โหวงเหวงเท่ากับบทของ Balian de Ibelin (Orlando Bloom) พระเอกของเรื่อง Kingdom of Heaven ที่จู่ๆไม่รู้ไปเก็บเลเวลมาจากไหน? จากช่างตีเหล็กธรรมดาภายหลังได้เป็นขุนพลผู้พิทักษ์คนสุดท้ายแห่งเยรูซาเล็มไปซะงั้น
ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆก็เกลี้ยๆบทกันไป จะมี Max von Sydow ดารารุ่นเก๋าที่รับบทเป็น Walter Loxley อัศวินเฒ่าผู้รับ Robin เป็นลูกบุณธรรมนี่แหละที่ดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน(แต่ก็ในฐานะตัวประกอบ...เอ้ย!? นักแสดงสมทบอ่ะนะ)
เรื่องโปรดักชั่นคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็ตามมาตรฐานหนังบล็อกบัสเตอร์ฮอลลีวู้ด ฉากรบตอนท้ายเรื่องที่ถือเป็นไคลแม็กซ์ทำออกมาอลังการใช้ได้ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ารุ่นพี่ๆอย่าง LOTR, Troy, Kingdom of Heaven ฯลฯ
โทนของหนังเองก็ออกแนวแมนๆ หึกเหิมตามฟอร์ม แต่ไม่ได้หึกเหิมแบบแอบซึ้งแบบ Braveheart, ไม่ได้หึกเหิมปนจริงจังเคร่งขรึมแบบ Gladiator, และไม่ได้หึกเหิม บ้าเลือด โหด โฉด เถื่อนแบบ 300 คือเป็นความรู้สึกหึกเหิมที่อยู่ตรงกลาง ตามมาตรฐานอีกนั่นแหละ(เบื่อเหมือนกันที่ต้องแต่ใช้คำเดิมๆอ่ะนะ)
เนื้อเรื่อง ช่วงแรกของหนังจะเป็นการปูพื้นตัวละครของ Robin ส่วนช่วงหลังจะเข้าสู่ประเด็นของหนังจริงๆ(อิสรภาพ ความเท่าเทียม ลูกแกะล่าซิมบ้า บลาๆๆ) มีการพูดปลุกใจ หึกเหิมเข้าไว้แล้วไปรบกัน แล้วก็รบกันตามสูตร (แนวๆ Avatar เลย) ...
สรุปนะครับ หนัง Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่ของผกก. Ridley Scott ในสายตาของผมทำออกมาได้"ตามมาตรฐาน"(อีกแล้ว)ครับ เป็นหนัง Prequel ที่ไม่ได้ดีเลิศเพอร์เฟ็กต์ขนาด Batman Begis หรือแย่แถมออกทะเลแบบ Hannibal Rising
ใครที่ชอบหนังสงคราม-Epic, ชอบสองนักแสดงนำของเรื่อง จะตีตั๋วเข้าไปดูก็คงไม่น่าเสียดายตังค์หรอกครับ แต่หนังมันไม่ถึงขั้น"ชอบมาก ห้ามพลาด ต้องดูให้ได้"ก็เท่านั้น(แต่ก็อย่างว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ ความเห็นของผมฟังหูไว้หูก็พอ)
ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 7.5/10 ครับ...