Search

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิจารณ์ Salt




นับเป็นปรากฏการณ์อีกครั้งสำหรับหนังที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขบท หลังจากที่ต้องเปลี่ยนตัวนักแสดงนำกระทันหัน กับหนังแอ๊คชั่นมันๆเรื่องนี้ Salt สวยสังหาร ซึ่งเดิมทีทางผู้กำกับได้วางตัวว่าเป็น ทอม ครูซ มารับบทเป็นเอ็ดวิน เอ. ซอลท์ ซึ่งเป็นตัวละครตัวหลักสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่ทว่าด้วยคาแรกเตอร์ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับ “อีธาน ฮันต์” ในมิสชั่น อิมพอสสิเบิ้ล จึงทำให้ ทอม ครูซ คิดอยู่นาน และปฏิเสธบทนี้ไป และบทนี้ก็มาลงตัวที่ “แองเจลีนา โจลี่” ด้วยการปรับเปลี่ยนให้บทนำของเรื่องกลับเป็น ผู้หญิง แทนที่จะเป็น ชาย เหมือนเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อตัวละครหลักมาเป็น เอเวอลีน ซอลท์ แทน

ตัวหนังเริ่มเล่าเรื่องด้วยการเปิดฉาก ซอลท์ ถูกจับในเกาหลี ฐานเป็นสายลับ เธอถูกทรมานด้วยการกรอกน้ำมัน เพื่อให้เธอรับสารภาพ แต่แล้วทางการสหรัฐฯ ก็ได้ส่งคนมาช่วยเหลือเธอ ด้วยการแลกเปลี่ยนตัวประกัน ทำให้เธอรอดพ้นวิกฤตเลวร้ายนี้มาได้ แต่ความจริงแล้วคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอนั้น เป็นชายหนุ่มที่พร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอ

หลังจากนั้น ซอลท์ ก็ดูเหมือนว่าจะได้ดำเนินชีวิตไปตามวิถีของผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงรัก จนกระทั่งเมื่อสายลับจากรัสเซียนายหนึ่งปรากฏตัว มันจึงเป็นเหมือนตัวระเบิดเวลาที่ทำให้ทีมงานเกิดความระแวง และคาดว่า ซอลท์ นั้น คือสายลับรัสเซียแฝงตัวมา และกลายเป็นจุดเริ่มของความมันในการตามไล่ ตามล่า สายลับ อย่างถึงพริกถึงขิง ในส่วนนี้น่าจะพูดได้ว่า ฝรั่ง หูเบา ที่เชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ เพียงแค่สืบดูจากประวัติข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ก็เชื่อแล้วว่า เพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นสายลับ

ในเรื่อง ซอลท์ ได้มีการอธิบายถึงความเป็นสายลับ ด้วยตัวละครเองในคำพูดที่สื่อออกมาว่า สายลับที่ดีจะต้องมีสมาธิ หากมีความรัก หรือคนรัก นั่นจะทำให้การเป็นสายลับด้อยลง ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มที่ซอลท์ฝากชีวิตไว้ด้วยการแต่งงาน (คนเดียวกับที่ช่วยเหลือให้เธอพ้นจากคุกเกาหลี) กำลังตกอยู่ในอันตราย และนั่นจึงทำให้ ซอลท์ ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยเหลือชายคนรักให้รอดพ้นวิกฤตการณ์เลวร้ายนี้ให้ ได้

ในเวลาเพียงแค่เริ่มต้น มีการปูพื้นตัวละครหลักในการเป็นจารชน หรือสายลับ ให้คนดูได้เข้าใจปูมหลังได้ดี ยิ่งในช่วงที่ แองจี้ ที่รับบทเป็น ซอลท์ จะต้องเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากเจ้าหน้าที่ซีไอเอไปเป็นสายลับก็ทำได้ดี ทำให้คนดูเชื่อว่า แองจี้ คือ ซอลท์ ซึ่งถูกฝึกปรือมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแก้ปัญหา วิธีการใช้อุปกรณ์เคมีประกอบระเบิด ซึ่งตัวหนังสื่อออกมาให้คนดูเห็น และร่วมลุ้นไปกับเธอโดยเฉพาะเมื่อเธอแปลงโฉมกลายเป็นสายลับสาวผมดำ ตาคม การแสดงออกทางสีหน้า แววตา ของเธอ ดูแล้วให้ความรู้สึกว่า นี่แหละ ซอลท์ ล่ะ

อีกทั้งการสลับไปยังภาพในอดีตของ ซอลท์ ก็ทำได้อย่างลงตัว ไม่มีสะดุดตา ทำให้คนดูอย่างเรารู้ว่าความจริงแล้วตัว ซอลท์ ตั้งแต่เด็กเป็นใคร และถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน และ โดยใคร ซึ่งจุดนี้นี่เองที่กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้คนดูไขว้เขว ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อว่า ซอลท์ บริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ หลังจากที่ถูกปรักปรำ

ความสนุกเริ่มเพิ่มขึ้นในส่วนของการตามไล่ล่า ระหว่างเจ้าหน้าที่ซีไอเอ กับ ซอลท์ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหนีของซอลท์ จากรถยนต์เจ้าหน้าที่ ที่คนดูก็ลุ้นกันสุดตัวเหมือนกันว่าอยากให้เธอรอดพ้น นับเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่ยังไม่เปิดเผยให้คนดูรู้ว่าแท้จริงแล้ว ซอลท์ เป็นสายลับ ที่แฝงตัวมา หรือว่าเป็นสายลับที่กลับใจแล้วกันแน่ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้คนดูอยากติดตามว่าจะเกิดอะไร เหตุการณ์เป็นแบบไหน และ ซอลท์ จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์จวนตัวแบบนี้

ฉากแอ๊คชั่น ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นระเบิดตูมตาม แต่ก็มีน้ำหนักที่พอเหมาะกับเรื่องราวที่นำเสนอ เสียงดนตรีประกอบที่มาในจังหวะพอดีก็ยิ่งเป็นตัวเสริมให้เกิดความน่าดูในตัว หนัง ประกอบกับเหตุการณ์ สถานการณ์ที่ไล่เรียงมา ก็ดูมีเหตุมีผล มีการใช้ความคิดมากกว่าจะเป็นแค่หนังจารกรรมธรรมดาทั่วไป ถึงแม้ว่าอาจจะมีหลายคนที่พอจะคาดเดาทางหนังได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังคงรอลุ้นกับปฏิบัติการของนักแสดงคนนี้ แองเจลีน่า โจลี่ น่าจะพูดได้ว่าเธอมีพลังดารา และพรสวรรค์ สะกดสายตาคนดูให้ตรึงอยู่บนหน้าจอได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบทพะบู๊ที่ไม่น่าเชื่อว่า นักแสดงสาวลูกแฝดอย่างเธอ ยังมีกำลังวังชาออกหมัดได้มากมาย รวมถึงการต่อสู้ด้วยอาวุธต่างๆ ซึ่งดูคล่องแคล่ว ไม่ต่างจากตอนเป็น ทูม ไรเดอร์ และออกจะคล่องกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ


ขอบคุณบทวิจารณ์ โดย ซายากะ โฮมส์-ดอยล์

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก FIRST LOVE


เป็นหนังที่เยี่ยมมาก ๆ ครับ น่าจะเทียบได้กับรถไฟฟ้ามาหานะเธอได้เลย หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
ดูแล้วนึกถึงตอนเรียนมัธยม
เนื้อหาของหนังก็ดีมาก แม้จะเป็นสูตรสำเร็จหนังรักมากไปหน่อย
มาริโอ้ ก็พัฒนาฝีมือการแสดงได้ดี ใบเฟิร์นก็น่ารัก
ฉากก็สวยงาม เพลงประกอบก็เพราะ
ช่วงสนุก ก็สนุก ช่วงซึ้งก็ซึ้ง เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ
เป็นหนังไทย โรแมนติก คอมานดี้ ที่สมบูรณ์มากเรื่องหนึ่งทีเดียว
แต่ก็มีจุดไม่เนียนนิดหน่อย ตรงพัฒนาการของนางเอก (แต่บางคนที่ไปดูก็ว่าตอนเด็กดำตอนโตอาจขาวก็ได้ ก็ว่ากันไป)
ส่วนอีกจุดนึงก็คือมอเตอร์ไซค์สุดทันสมัยมีใช้กันตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อน อันนี้ถึงจะดูแปลก ๆ ก็ไม่ทำให้หนังเสียอรรถรสแต่ประการใด
เป็นหนังที่แนะนำให้ทุกคนได้ไปดูกันนะครับ
คะแนน จริง ๆ อยากให้ 9/10 แต่อดใจไม่ไหว ให้ 10 เต็มไปเลยแล้วกันนะครับ

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิจารณ์ โป๊ะแตก

บังเอิญหนังเรื่องนี้มีคนดูมาแล้ว และผมคิดว่าบทความของคุณ เด็กภูเวียงโดยกำเนิด น่าจะให้มุมมองที่ดีให้กับผู้ที่คิดจะไปดู ผมเลยไปขอบทความมาลงไว้ในบล็อกครับ
ต้องขอขอบคุณ คุณ เด็กภูเวียงโดยกำเนิดที่ ให้ความกรุณาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

[โป๊ะแตก] การกลับมาอีกครั้งของหนังตลกหยาบคายไร้สาระ! (มีสปอยล์บ้างตามความเหมาะสม)

ไปดูมาเมื่อวานครับรอบสามทุ่มที่โรงหนังแถวมหาวิทยาลัย คนแน่นโรงตามคาด
ชื่อคุณหม่ำการันตีความสนใจของคนดูแถวนี้ได้ตลอดครับ
ขอวิจารณ์ตัวหนังเป็นส่วนๆไปนะครับ
เครดิทต้นเรื่อง ผมว่าทำได้น่าเบื่อมากมายครับ มุขเมิกอะไรในส่วนนี้ก็จืดชืดจริงๆ
ไม่สมกับเป็นหนังตลกของคุณหม่ำเลยครับ นึกว่านั่งดูเบ๊นท์โบ๊ทอยู่
ตัวเรื่อง เป็นบรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายหนังที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ฮาๆ
คำพูดหยาบคาย การใช้กำลังทั้งตบทั้งถีบ มาให้คนดูหัวเราะ
ฮาตรึมบ้างฮากริบบ้างตามความโป้งความแป๊กของแต่ละมุข
โดยรวมผมว่าตลกกว่าวงษ์คำเหลาและแหยมสองเสียอีก
ฉากที่ผมตลกมากๆมีอยู่สามฉาก ได้แก่ ฉากบวงสรวง ฉากรายการทีวี และฉากเลิฟซีน
นอกนั้นไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ ส่วนฉากพี่ตุ๊กกี้น่าเสียดายที่เห็นในตัวอย่างบ่อยแล้วพอดูของจริงเลยไม่ค่อยฮาเท่าไหร่
รอบที่ผมดูมีผู้ปกครองพาเด็กประถมสามสี่คนมาดูด้วย ทั้งที่หนังได้รับเรท น15+ หมายถึงเหมาะกับผู้ชมที่มีอายุสิบห้าปีขึ้นไป
อย่างที่บอกว่าหนังอุดมไปด้วยคำหยาบคายและตลกทำร้ายร่างกายตลอดทั้งเรื่อง แล้วเด็กเหล่านั้นจะได้ซึมซับอะไรไปบ้างผมไม่อยากจะคิด
ผมอดตำหนิผู้ปกครองวิจารณญาณต่ำเหล่านั้น(ในใจ)ไม่ได้ ผมจะไม่โทษผู้สร้างหนังอีกต่อไป เพราะมีการจัดเรทแล้ว ผู้สร้างก็ควรมีอิสระในการสร้างสรรผลงานได้
ผมขอโทษผู้ปกครองที่พาเด็กเข้าไปดูมากกว่า คงคิดว่ามันเป็นหนังตลกเด็กน่าจะดูได้
"หนังตลกไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กเสมอไปนะครับ"
ผู้ปกครองเหล่านั้นอาจไม่ทราบว่ามันไม่เหมาะกับเด็กอย่างไร ทำไมถึงได้เรต น15+
ผมอยากให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบระบุลงไปเลยครับกับการจัดเรตแต่ละเรื่องว่าได้เรตนั้นเรตนี้เพราะอะไร เหมือนที่อเมริกาทำ
เช่น ภาพยนตร์เรื่อง"โป๊ะแตก"ได้รับเรต น15+ เนื่องจากมีการใช้คำหยาบและฉากทำร้ายร่างกายเพื่อความหรรษาตลอดทั้งเรื่อง
ผู้ปกครองจะได้กรองได้ว่าควรจะให้ลูกหลานตัวเองดูได้รึเปล่า
เท่านี้แหละครับที่ผมต้องการ

ปล.ตกลงผมมาวิจารณ์หนัง ผู้ปกครองวิจารณญาณต่ำ หรือระบบการจัดเรตกันเนี่ย (งงตัวเอง)

จากคุณ : เด็กภูเวียงโดยกำเนิด
เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 21:46:55


วิจารณ์ Prince of Persia: The Sands of Time

Prince of Persia: The Sands of Time


หนังเรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time เป็นหนังที่สร้างมาจากซีรีย์เกมส์ผจญภัย Prince of Persia โดยเอาภาค The Sands of Time ในเครื่อง PS2 มาทำซี่งต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หนังเรื่องนี้ทำมาได้ดีจริง ๆ ไม่เหมือนหนังที่สร้างมาจากเกมส์เรื่องอื่น ๆ ที่เวลาที่คอเกมส์ตั้งตารอ แล้วได้ดูจริง ๆ แล้วจะรู้สึกเหวอ เสียดายตังค์ ไม่คุ้มกับที่ตั้งหน้าตั้งตารอ

เรื่องนี้พระเอกชื่อ ดัสตัน เป็นเด็กข้างถนน ได้มีเหตุให้ได้แสดงฝีการปีนป่ายวูบวาบให้กับราชาได้เห็น ราชาจึงรับไปเลี้ยงเป็นลูก เลยกลายเป็นเจ้าชายซะงั้น
เมื่อเวลาผ่านมา สามเจ้าชายก็ได้ไปบุกเมือง Holy city of Alamut ของเจ้าหญิง ทามิน่า (ชื่อเมืองกับชื่อเจ้าหญิงไม่เหมือนในเกมส์นะจ๊ะ ในเกมส์รู้สึกจะชือ ฟาร่า กับเมืองบาบิลอน ถ้าผิดต้องขออภัย) ระหว่างต่อสู้กันชุลมุน ดัสตันบังเอิญได้กริชแห่งกาลเวลามาไว้ในครอบครอง เรื่องวุ่น ๆ มันก็เลยเกิดขึ้น

วิจารณ์กันเลยดีกว่า
หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเกมส์ โดยที่มี Plot เรื่องเดียวกัน แต่เนื่้อเรื่องนั้นแตกต่างกันออกไปเลย ดังนั้นใครที่เล่นเกมส์มาแล้วจะมาเดาทางได้ก็ อย่าหวัง แล้วก็จะได้ไม่ต้องมาคอยพูดว่าทำไมไม่เหมือนในเกมส์เลย เพราะมันไม่เหมือนกันเลยต่างหาก

princeofpersiareview.png

จะว่าไม่เหมือนกันเลยแล้วมาใช่ชื่อเรื่องเดียวกันทำไมวะ ก็ต้องบอกว่ามันก็มีเหมือนกันบ้าง ก็คือ
1.กริชแห่งกาลเวลา ที่เป็นชื่อเรื่องนั่นล่ะ ที่เป็นกริชวิเศษที่สามารถทำให้ย้อนเวลาได้เหมือนกัน
2.พระเอกเป็นเจ้าชายเหมือนกัน แต่ในเกมส์เป็นเจ้าชาย ในหนังเป็นเด็กกำพร้าข้างถนนที่ถูกกษัตรย์เก็บมาเลี้ยงก็เลยเป็นเจ้าชาย แต่ที่เหมือนกันและเป็นเอกลักษณ์ของ Prince of Persia คือ พระเอกจะต้องคล่องแคล่วว่องไว ปีนป่าย ยังกะสไปเดอร์แมนเหมือนกันนั่นเอง
3.นางเอกเป็นเจ้าหญิงของเมืองที่พระเอกเข้าโจมตีเหมือนกัน แต่เป็นคนเมือง คนล่ะคนกัน

หนังเรื่องศึกชิงมีดนี้การเดินเรื่องค่อนข้างเดาง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรมากไปกว่าแย่งมีดกันไปมา และไม่เหมือนในเกมส์ แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ เพราะจะไปซับซ้อนมาก ๆ เหมือนและตามเรื่องในเกมส์คงจะทำไม่ได้ เพราะหนังมีเวลาจำกัด คิดว่าถ้าเดินเรื่องตามในเกมส์หนังก็คงจะไม่สนุกเหมือนหนังที่ทำมาจากเกมส์เรื่องอื่น ๆ
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นฉากต่อสู้ตามสไตล์ Prince of Persia เป็นจำนวนมาก การดวลดาบเช้ง ๆ การปีนป่ายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ของ ดัสตัน และยังอุตสาห์มีฉากผจญภัยไปในห้องลับที่มีกับดัก ฉาก CG ทำได้ดีพอใช้ได้ไม่ถึงกับดีมาก ตอนฉากทรายดูดดูยังไง ๆ ก็ไม่เนียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังจะไม่สนุกน่ะนะ เพลงประกอบก็ทำได้ดีเวลาดูแล้วรู้สึกอินไปกับหนังด้วย
การแสดงของนักแสดงทำได้ดี โดยเฉพาะพระเอก Jake Gyllenhaal ที่เปลี่ยนจาก เด็กเรียนในเรื่อง The day after the tomorrow มาเป็น Prince of Persia ที่มีร่างกายแข็งแรงทะมัดทะแมงได้สมบทบาท ส่วนนางเอก Gemma Arterton ก็แสดงได้ดี กัดกับพระเอกตลอดเรื่อง อีกสองคนที่ทำให้หนังมีสีสันคือ Amar แสดงโดย Alfred Molina และพี่มืด (จริง ๆ มีชื่อนะ) แสดงโดย Steve Toussaint

โดยส่วนตัวชอบฉากดวลมีดบินของพี่มืดกับคุณซอมบี้ ดูแล้วลุ้นดี ถ้าฝีมือดีขนาดนี้น่าไปปามีดแข่งกับ พวกบ้านมีดบินนะเนี่ย
และโดยส่วนตัวอีกเหมือนกัน ตอนเจ้าหญิงหนีออกจากเมืองมาหลบอยู่กลางทะเลทราย แล้วเจ้าชายหนีตามทาทีหลัง มันตามหาเจอง่ายจังวะ เดินไปก็เจอเลยนี่มันทะเลทรายหรือว่าสวนหลังบ้านวะเนี้ย

ผลพวงจากหนังเรื่องนี้น่าจะทำให้เกิดวรรคทอง Difficult Not Impossible เพราะเป็นประโยคที่ทำให้พระเอกเท่ห์สุดประมาณ ในฉากไปหาพ่อ (เท่ห์ตอนพูดนะ ไม่ได้เท่ห์ตอนไปหา) อารมณ์ว่ายากไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้
สรุปเป็นหนังที่ดูแล้วน่าจะคุ้ม ถ้าใครไม่เคยเล่นเกมส์มาผมว่าน่าจะสนุกมากกว่า
ถ้าคนที่เคยเล่นเกมส์มาก็อย่าไปยึดติดกับเกมส์ก็จะดูได้สนุกเหมือนกัน
ต้องขออภัยที่ Review แต่หัววันเลยไม่กล้าจะเล่าอะไรมาก กลัวสปอยล์

ให้ 8/10


กะลาน้อย

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Be With You (Return)

อันเนื่องมาจากการจากไปของโรงหนังที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
จากโรงหนังที่เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตเปลี่ยนเป็นโรงหนังที่เป็นตำนานที่เหลือแต่เรื่องเล่าไปแล้วจริงๆ
เพื่อการรำลึกมีการเอาหนังสุดซึ้งในอดีตมา ฉาย กระชากน้ำตาซะหลายเรื่องเลย

ใครที่เคยดูเรื่องนี้มาแล้วก็จะรู้ว่า ไม่รู้จะ Review ยังไง ให้คนที่อ่านแล้วไปดูไม่เสียอรรถรสในการรับชม
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเก่าแล้วเอามาฉายใหม่ เชื่อว่ามีคนจำนวนมากเคยดูมาแล้ว ถ้าจะหาสปอยล์มาอ่านละก็มีมากมายในอินเตอร์เน็ทอยู่แล้ว
ผมเลยเลือกเอาบทวิจารณ์ ที่เค้าไม่สปอยล์มาให้ได้อ่านกันครับ เพราะถ้าให้วิจารณ์เองนี่มันยากมากๆ เลย
บทวิจารณ์นี้เอามาจาก http://www.popcornfor2.com/movies/archives/ft_082.html
โดยคุณ นีอุง
นีอุง นีอุง 07/05/05

ฟันธง : Be with You : Be with Me...once and again...

ผมพยายามแล้วนะครับ พยายามมากๆ ด้วย ในการที่จะกลั้นใจไม่ให้สะเทือนใจมากขนาดนี้กับ Be with You หนังรักโรแมนติกจากประเทศญี่ปุ่น ที่โกยเงินและโกยกล่องกันเป็นที่สนุกสนานในญี่ปุ่น ...ผลเหรอครับ? ผมแพ้ยับครับ นั่งคอตกปาดน้ำตากันไม่ห่วงหล่อเลยทีเดียว

มีหลายๆ อย่างในหนังที่ผมไม่อยากเชื่อ ผมไม่อยากเชื่อว่า นี่เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ของผกก.Nobuhiro Doi ผมไม่อยากจะเชื่อว่าพระเอก Shido Nakamura จะลบภาพไอ้โล้นโหดในเรื่อง Ping Pong ได้ และผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า นางเอก Yuko Takeuchi จะน่ารักสดสวยมากกว่าที่เคยเห็นเธอมาจากเรื่องก่อนๆ ได้อีก (ขออภัยหากส่วนตัวไปนิ๊ด) แต่สิ่งหนึ่งที่ Be with You ทำให้ผมเชื่อคือผมเชื่อว่า Mio เธอกลับมาจริงๆ ในฤดูฝนของวันครบรอบการตาย 1 ปีของเธอ และจุดนี้เองที่บอกผมว่า ตัวหนังประสบความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งค่อน ที่เหลือก็เพียงแค่พยายามประคองเนื้อหาที่เหลือไม่ให้ออกทะเลจนเกินไป แค่นี้ก็จับผู้ชมได้อยู่หมัดแล้ว

แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าผกก. Doi จะเป็นพวกลัทธิซาดิสต์ที่ชอบทรมานคน ด้วยการให้ผู้ชมร้องไห้จนร่างกายขาดน้ำตายหมู่กันคาโรง เพราะตัวหนังไม่หยุดอยู่เพียงแค่ “ประคองเรื่องที่เหลือไม่ให้ออกทะเล” แต่กลับนำพล๊อตที่ดีและน่าสนใจมากอยู่แล้วในระดับเกรด A ซึ่งหากเป็นหนังรักเรื่องอื่นๆ เรื่องราวแค่นี้ก็คงจะ “ได้ใจ” ผู้ชมมากพอจนโกยเงินโกยทองได้อยู่แล้ว แต่ Be with You นำพล๊อตเรื่องระดับ A นี้ มาต่อเติมเสริมความจี๊ดจนกลายเป็นพล๊อตระดับ “A พิเศษ (เพิ่มเส้นเพิ่มลูกชิ้น)” โดยการสอดแทรกมุขที่คัดมาแล้วว่าจี๊ดมาก (มากจนถึงขั้นดิ้นกันกลางโรง ) มุขแล้วมุขเล่าใส่เข้ามาในเนื้อเรื่องที่แสนจะแน่นปึ๊ก แต่อ่อนโยนได้ถูกใจคอหนังรักจนนั่งดูไปก็ร่ำๆ อยากโทรไปบอกรักแฟนกันซะเดี๋ยวนั้น

อันที่จริง ผมพบว่าการเขียนถึง Be with You นี้ เป็นการเขียนถึงหนังที่ยากมากๆ เรื่องหนึ่ง ประการแรกคือผมมักจะบรรยายหนังที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ(เช่นเรื่องนี้) ออกมาเป็นคำพูดได้ยากโดยไร้สาเหตุอยู่เสมอ ประการที่สอง หลายๆ ช่วงในหนังอยู่ในขั้น “ความลับทางราชการ” ห้ามเผยแพร่โดยเด็ดขาด(ใครฝ่าฝืน ผมขอแช่งให้แฟนหนีไปดูกับกิ๊ก) และประการสุดท้าย ซึ่งผมเห็นว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดของหนัง คือบทหนัง Be with You นั้น มีรายละเอียดซับซ้อนยอกย้อนยิบย่อยมากมายแฝงเร้นกาย รอให้คุณจะจับจุดจี๊ดเป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่า เมื่อคุณชมหนังจบ คุณสามารถมานั่งย้อนนึกถึงมุขหวานอันนั้น มุขซึ้งอันนี้ที่คุณสังเกตหรือนึกไม่ทัน ณ ขณะที่ดูได้อีกเป็นคุ้งเป็นแคว

หากจะมีข้อติติงกันอยู่บ้าง (ตรงนี้ผมขอสารภาพว่า ผมทำไปตามหน้าที่บังคับจริงจริ๊ง...ลึกๆ แล้ว ผมไม่ได้แคลงใจอะไรเลยแม้แต่น้อย) คงอยู่ที่หลายๆ ช่วงในหนังดูคล้ายๆ ว่าจะ ‘ได้รับอิทธิพล’ จากหนังเกาหลีบ่อยไปสักหน่อย หลายๆ ฉากดูคุ้นๆ ตาพอสมควร แต่กระนั้น ผมขอยืนยันว่าเป็นการได้รับอิทธิพลที่นำ “ของดี” มาสานต่อให้เป็น “ของดีมากถึงมากที่สุด” การหยิบยืมเหล่านี้ล้วนนวลเนียนเป็นเนื้อเดียว สอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล รับส่งกับตัวเรื่องที่วางเอาไว้และที่สำคัญคือ ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาทีเลยว่าใส่มาเพื่อขายของกันเท่านั้น (เอ๊ะ นี่ผมกำลังพูดถึงข้อเสียหรือข้อดีกันนะ?) ...เอาเป็นว่า ผมเปิดใจกันตรงๆ เลยแล้วกันว่าข้อเสียของ Be with You นั้นมีอยู่บ้าง แต่ผมมองข้ามมันไป ด้วยความที่ผมเลือกที่จะใช้ใจดูมากกว่าใช้ตาทั้งสี่ของผม

ดารานำทั้งสามคน ล้วนได้ใจผมไปเต็มๆ และลุ้นให้ได้ “เข้าชิงรางวัลกันยกบ้าน” เริ่มจาก Yuko ที่สวยสง่า สดใส น่ารักมากขึ้นกว่าเรื่องก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด(กับคอสตูมที่ดูดีขึ้นจาก Yomigaeri จนน่าดีใจแทน) ฝีมือทางการแสดงของเธอในเรื่องนี้นิ่ง ลึกและเข้าถึงตัวละครได้ในระดับดาราแถวหน้าของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ในขณะที่บทลูกชายของ Akashi Takei ก็น่ารักน่าชัง สดใสแต่ไม่แก่แดด ไม่บีบน้ำตาจนหมดอารมณ์เหมือนหนังขายเด็กเรื่องอื่นๆ และสุดท้ายกับ Shido ที่เปลี่ยนตัวเอง “จากหน้ามือตัวเองเป็นหลังเท้าชาวบ้าน” จากไอ้โหดในเรื่อง Ping Pong มาเป็นคุณพ่อเฉิ่มเบ๊อะที่แสนน่ารักได้น่าเชื่อถือมากอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ส่วนงานด้านเทคนิคของหนังอยู่ในเกณฑ์เหนือมาตรฐานแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านภาพที่นอกจากจะงดงามทรงพลังแล้ว ยังสื่อถึงอารมณ์ของตัวละครและส่งความหมายแฝงมายังผู้ชมได้ดี อีกทั้งดนตรีประกอบที่รับใช้ตัวหนังดีเยี่ยม สามารถเร้าอารมณ์ผู้ชมได้แทบจะทันทีที่ขึ้นโน้ตตัวแรก ในขณะที่ไม่ไพเราะ และเป็นเอกภาพมากจนไปบดบังเรื่องราวของหนัง

หากมองด้วยมุมมองของการทำภาพยนตร์แล้ว Be with You อาจไม่มีคุณค่าครบถ้วนเต็มร้อย แต่หนังเรื่องนี้มอบคุณค่าทางจิตใจให้ผู้ชมจนเกินร้อย เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเรียกได้เต็มปากว่า มีศักยภาพมากพอที่จะยกระดับจิตใจผู้ชมได้ อย่างน้อยๆ ตัวหนังจะทำให้คุณตระหนักได้ว่า ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนั้น ทรงคุณค่าเพียงไรกับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ ทั้งนี้ ผมคงไม่แสดงความชื่นชอบ Be with You อย่างออกนอกหน้ามากไป จนกระทั่งนำไปเทียบกับหนังญี่ปุ่นโรแมนติกในตำนานอย่าง Love Letter ของผกก.ชุนจิ (แม้ว่าโดยส่วนตัวจริงๆ แล้ว ผมจะคิดเช่นนั้นก็ตาม) เอาเป็นว่าหาก Nobody Knows เป็นหนังฟ้าประทานของหนังญี่ปุ่นแนวดรามาในปีนี้ ผมขอยกให้ Be with You เป็นหนังฟ้าประทานในประเภทหนังรักโรแมนติกแล้วกัน ....และผมไม่ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า ‘ในปีนี้’ นะครับ....นีอุงลองแล้ว เยี่ยมยอดมากๆ ครับ]!!

official site : www.bewithyou.co.kr ,http://www.tbs.co.jp/movie/english/bewithyou/



neunth@yahoo.com
นีอุง นีอุง 07/05/05


โดยส่วนตัวแล้ว เรื่องนี้ถ้าไปดูกะแฟนรักกันตายห่าเลย ถ้าไปดูกะกิ๊ก....ข้ามไปก็แล้วกัน
ถ้าไปดูพ่อแม่ลูกก็ดีมากเหมือนกัน เพราะหนังเกี่ยวกับความรักระหว่าง พ่อแม่ลูก ระหว่าง พ่อ-ลูก แม่-ลูก พ่อ-แม่ ครบเลย
ถึงเคยดูมาแล้วไปดูอีกรอบกับคนที่รู้ใจผมว่าคุ้มนะ


The Message (Feng sheng)

The Message (Feng Sheng / 风声)


สำหรับหนังเรื่องนี้ผมก็ได้ดูมาสักพักแล้วล่ะครับแต่ว่าไม่อยากจะ Review เองกะว่าจะรอ ให้คนมา Review ก่อนแล้วค่อยก๊อบของเค้ามาสะสมไว้ใน blog รวบรวมของผม แต่ว่ารอไปรอมาหลายวันแล้วไม่เห็นมีใคร Review สักที ก็เลย Review เองเลยก็แล้วกันนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครอง ในหนังเค้าว่าปี 1942 (ค.ศ.) ช่วงนั้นคณะทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาบริหารประเทศจีนผ่านคณะรัฐบาล นอมีนี
ซึ่งกลุ่มใต้ดินของจีนก็มีความพยายามล้วงความลับและพยายามจะลอบสังหารทหารระดับสูงของกองทัพญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นก็รู้ทันทีว่าต้องมีสายลับส่งข้อมูลให้กับกลุ่มใต้ดิน

ความซวยจึงมาบังเกิดกับผู้ทีทำงานเกี่ยวกับการถอดรหัส ที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งกระบิ ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปสอบสวนด้วยวิธีการอันเกินบรรยาย พวกเขาและเธอก็รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่มีใครได้กลับออกไปอีก เขาและเธอทั้งสองต้องหาวิธีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อเอาร่างกายที่ยังหายใจออกไปให้ได้


หนังเรื่องนี้มีการเล่าเรื่องที่กระชับ รวดเร็ว เนื้อ ๆ เน้น ๆ ไม่ยืดเยื้อยาวนาน เริ่มมาได้ติ๊ด ๆ ก็เข้าเรื่องทันที เนื้อเรื่องช่างเข้มข้นอะไรอย่างนี้ นักแสดง หลัก ๆ ก็คงจะมี สัก 7-8 คนเห็นจะได้ อยากจะบอกกับเพื่อน ๆ ว่า จำชื่อไม่ได้ซ้ากกกกกคน แต่ว่าทุกคนแสดงได้ดีมาก ๆ เอาว่าดูแล้วรู้สึกอินว่ะ ระหว่างดำเนินเรื่องๆ ก็จะมีปมต่าง ๆ มาให้เราเดาเป็นระยะ ๆ พล็อตเรื่องวางมาได้ดีมาก
อาจมีช๊อตเขย่าขวัญบ้าง (หมายถึงช๊อตสอบสวน เค้นความลับด้วยการทรมาน) จิง ๆ ก็ไม่บ้าง มากเหมือนกัน หรืออาจไม่มาก แต่ว่าแต่ละช๊อตนี่ ดูแล้วสยองโว้ย
ช๊อตผู้ชายโดนทรมานนี่เราดูก็รู้สึกทรมานตามไปด้วย หยึ๋ยยยย
ช๊อตสุดท้ายที่เอาผู้หญิงไปทรมาน ทหารสองสามคนเค้าจับเอาผู้หญิงมานั่งบนเชือกเส้นใหญ่ที่ขึงไว้ แล้วก็จับผู้หญิงรูดไปกับเชือกโดยให้อวัยวะถูไปกับเชือก เห็นแล้วแบบ.....
ไม่อยากเล่ามาก ไม่อยากสปอยล์ แต่เห็นแล้วสยองอย่างยิ่งยวด
แม้จะมีปมในเรื่องให้มาเดาเรื่อยๆ แต่เนื้อเรื่องออกจะเดาง่ายสักนิดนึง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด เรื่องที่ถูกดำเนินโดยสองนางเอก (นางเอกสวยด้วยล่ะ) แสดงได้น่าติดตามมาก ๆ รู้สึกเหมือนมีมนต์สะกดให้ตาอยู่กับจอตลอดเลย คือไม่เป็นอันได้ละสายตาเลย


สรุปว่าเป็นหนังที่ดีมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าใครชอบดูหนังเครียด ๆ หนังเรื่องนี้สุดยอดมาก ๆ แต่ถ้าชอบดูหนังเฮฮาเบาสมอง แนะนำว่าอย่าไปดูเลย หนังเรื่องนี้ไม่เบาสมองหรอก เพราะหนังจบคนดูมันจะยังไม่จบเอาน่ะ(หรือว่าเราอินไปวะเนี้ย)

แถมนิดนึง ที่ดูแล้วสงสัยคือเวลาเค้าส่งรหัสกันเนี่ย มันทำได้อย่างที่เค้าแสดงกันจริงๆ เหรอเนี่ย ถ้ามันทำได้อย่างนั้นนี่ อยากเรียนส่งรหัสเลยว่ะ มันเท่ห์ดีจริง ๆ สามารถคุยกันได้มากมายสารพัดวิธี แค่ทำไม้ทำมือกันจึ๊ก ๆ จึ๊ก ๆ ก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว มีเย็บผ้าส่งข้อความกันได้อีก คนส่งเย็บผ้า คนอ่านเอามือรูดไปตามแนวเย็บแล้วข้อความก็เข้าสมองไปเลย สุดยอดจริงๆ เลย เห็นแล้วประทับใจมาก


คะแนนเลยดีกว่า 9.5/10 หักครึ่งคะแนนตรงดูดบุหรี่กันซะควันเต็มจอ ทั้งชายทั้งหญิง แถมทั้งเรื่องอีกต่างหาก แต่ก็เข้าใจนะว่าคนมันเครียดจะให้เล่นหมากเก็บก็คงไม่เหมาะ กะอีตอนเอานางเอกไปรูดบนเชือกนี่ละโว้ย แทบอยากเข้าไปในจอแล้ว ชัวะชะทหารแม่งญี่ปุ่นซะ ทำกับคนสวยงี้ได้ไงวะ

จบดีกว่า มีอารมณ์ร่วมมากเกินไปแล้ว

กะลาน้อย

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิจารณ์ The Losers

The Losers

Losers เป็นหนังที่ถูกสร้างมาจากการ์ตูน Comics เช่นเดียวกันกับ Kick Ass
เป็นหนังที่เกี่ยวกับทีมปฏิบัติการพิเศษของอเมริกา มีสมาชิกในทีม 5 คน

เคลย์ เป็นหัวหน้าทีม
เจนเซ่น ผู้เชียวชาญคอมพิวเตอร์
โรก ผู้เชียวชาญด้านระเบิด
พุช ผู้เชียวชาญด้านขนส่ง
คูก้า สไนเปอร์ ผู้เยี่ยมวรยุทธ์

นอกจากนี้ยังมี ไอชา สายลับสาวผู้ลึกลับอีกหนึ่งคนด้วย

เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ทั้งห้าร่วมกันเพื่อล้างแค้นคนที่ชื่อ Max จึงเกิดการบู๊ล้างผลาญ แอ็คชั่นมันส์กระจาย ความมันส์สุดยอด
ถ้าจะว่าไปแล้วมันเป็นหนังแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าไม่พูดถึงเนื้อเรื่องที่อยู่ในเกณฑ์พออดทนดูได้
ส่วนฉากระเบิดตูมตามด้วย CG นั้นถ้าไม่พูดถึงก็จะเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งทีเดียว
แต่ถ้าเลียงที่จะพูดไม่ได้ ก็เอาเป็นว่าแย่ก็ตรง CG นี่แหล่ะ

สรุป เป็นหนังแอ็คชั่นสุดมันส์เรื่องหนึ่ง ถ้าคุณจะดูหนังเอามันส์ละก็ นี่คือหนังที่คุณต้องการ ส่วนเรื่องสาระก็จำเป็นต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ
ให้เกรด B+

ขอนอกเรื่องนิดนึง ผมว่าเค้าน่าจะหาคนแสดงเป็น ไอชา สวยกว่านี้ได้นะครับ
หนังน่าจะน่าดูเพิ่มขึ้นล่ะว๊ะ
กะลาน้อย

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

3 ย่าน หนังที่เน้นความสัมพันธ์หญิงชาย

บทความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เมื่อได้ยินคำว่า 3 ย่าน หลายคนคงนึกไปถึงตลาดแถวจุฬา ซึ่งมีอาหารขึ้นชื่อที่ได้ยินเรื่อยมาคือ โจ๊ก หรือถ้าเข้าไปอีกหน่อยก็จะนึกถึงสเต๊กจานโตในราคาประหยัดบนชั้น 2 ของตลาด แต่เมื่อเห็นโปรโมท ทำให้เข้าใจว่า เป็นชื่อหนังเรื่อง 3 ย่าน นั่นเอง ซึ่งแรกๆ เดาว่าน่าจะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับตลาดแน่นอน แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าหนัง 3 ย่านเค้ามีคอนเซปต์ เป็นเรื่องราวเดียวกัน แต่แบ่งกันกำกับคนละย่านของ 3 ผู้กำกับ พิง ลำพะเพลิง, ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค, โก๊ะตี๋ อารามบอย (เจริญพร อ่อนละม้าย)

โดยรวมแล้วหนัง 3 ย่าน เป็นเรื่องราวที่ดำเนินแบบต่อเนื่องด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นของแต่ละย่าน โดยย่านแรก จะมีตัวเชื่อมต่อไปยังย่านที่ 2 และจากย่านที่ 2 ก็ต่อไปย่านที่ 3 ซึ่งในแต่ละย่านก็จะแบ่งแยกเรื่องราวของตนเองออกไป

ย่านแรก เป็นการกำกับของ นักเขียน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้มีอารมณ์ขัน “พิง ลำพระเพลิง” กับเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าจอดรถทัวร์แห่งหนึ่ง เมื่อน้าค่อมพนักงานขับรถ ทัวร์(ค่อม ชวนชื่น) กำลังวิ่งไล่จับจู๋จี๋กับตุ๊กกี้บัสโฮสเตสสาวสวย (เป้ย ปานวาด) ขณะจะเข้าด้ายเข้าเข็มก็บังเอิญเหลือบไปเห็นศพหญิงสาวในรถ ทั้งคู่รีบมาบอกกับเจ๊เกี๊ยว(โซเฟีย ลา) เจ้าของรถทัวร์ ซึ่งกลัวว่าเรื่องดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อ ธุรกิจเดินรถ ทั้ง 3 คนจึงร่วมมือกันปฏิบัติการแผนอำพรางศพโดยตั้งใจจะเอาศพไปทิ้งระหว่างทาง การเดินทางที่วุ่นวายของทั้ง 3 คนกับผีสาวสุดเฮี้ยนก็เริ่มต้นขึ้น และเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกเมื่อตำรวจ(อังเคิล) จอมสอดรู้สอดเห็นขอเดินทางไปด้วย ภารกิจใหม่ของทั้ง 3 คนคือ ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ผีหลอกพวกตนแต่ห้ามหลอกตำรวจและผู้โดยสาร ก่อนที่เรื่องราวบนรถทัวร์จะเกิดความโกลาหลไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ พระสงฆ์ ก็ต้องวิ่งหนีผีสาวกันจ้าละหวั่น

ย่านถัดมาเป็นผลงานกำกับของ “ต้อม ยุทธเลิศ” ผู้กำกับแนวหน้าในเมืองไทย ซึ่งเรื่องราวในย่านที่ 2 นี้ เป็นเรื่องของสองหนุ่ม หอย (เสนาหอย) และ บิ๊ก (ทองภูมิ) เพื่อนที่เคยรักกัน แต่ทว่าผิดใจกันเพราะหอย แย่งแฟนของบิ๊กมาครอบครอง และเมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หอยเกิดความระแวงว่า แพนเค้ก อดีตแฟนของบิ๊กเกิดปันใจ เขาจึงว่าจ้างมือปืนตามล่าบิ๊ก แต่ทว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรเพราะหอยให้ไปผิดซอง เรื่องกลับกลายเป็นว่า หอย ต้องกลายเป็นคนถูกล่าหัวเสียเอง

และย่านที่ 3 กับงานกำกับของผู้กำกับสุดฮา “โก๊ะตี๋ อารามบอย” กับเรื่องราวของผู้กำกับในกองกำกับหนัง …. รุ่งขึ้นของวันใหม่โก๊ะ(โก๊ะตี๋) ผู้กำกับหนังตกอับกำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่ที่จะพิสูจน์พื้นที่ของผู้กำกับหนัง ของตัวเองที่เหลือน้อยเต็มที ซึ่งมีแอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) พระเอกตกยุคแสดงนำ และมีเป้ย (กิ๊ฟซ่า) นักแสดงสาวผู้กำลังหวังไต่เต้าทางการแสดงร่วมเล่นด้วย ซึ่งโก๊ะแอบมีสัมพันธ์สวาทกับเป้ยอย่างลับๆ ปัญหาของโก๊ะกับโปรดิวเซอร์ใหญ่ (ป๋าต๊อบ) ผู้จัดการกองถ่ายจอมป่วน (ลูลู่) อีกทั้งธุรกิจกองถ่ายสุดเปิ่น (ลาล่า) ก็แย่พอแล้ว สำหรับการทำงานกองถ่าย ปัญหากับนักแสดงลืมตัวอย่างแอนดี้ก็ยิ่งทำให้แทบจะกระอักเลือด เหมือนผีซ้ำชะตาซวยโก๊ะมารับรู้ความลับบางอย่างเข้า มันเหมือนรถสิบล้อบี้ทับร่างอวบๆ แล้วถอยมาทับอีกรอบ มันทำให้น้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลหลั่ง โก๊ะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อจบปัญหาทุกเรื่องลงให้ได้

จากย่านที่ 1 ที่ได้ดู น่าจะเป็นย่านที่ดูลงตัวที่สุด ฮาที่สุด ด้วยบทที่เข้าใจง่าย วิธีแก้ปัญหาของตัวละครในย่านนี้ก็เป็นไปในรูปแบบของหนังตลก โดยมีนักแสดงตลกอย่าง น้าค่อม ชวนชื่น มาสร้างเสริมความฮาเข้าไปอีก นอกจากนี้ตัวบทยังเสริมส่งให้ย่านนี้เป็นย่านที่ดูผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีที่สุด ไม่น่าเชื่อว่า “เป้ย ปานวาด” ก็แสดงตลกได้ แต่ที่สำคัญตัวละครอีกตัวที่ตลกไม่แพ้กันคือ “โซเฟีย ลา” ที่เป็นความฉลาดของพี่พิง ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของโซเฟีย ลา ออกมาขายได้อย่างโดดเด่น

ส่วนย่านที่ 2 ของผกก.ต้อม ยุทธเลิศ เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย ที่เน้นอยู่แต่กับเรื่องขนาดของอวัยวะเพศชาย และเหมือนเป็นการดูถูกผู้หญิงว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายที่ขนาดของอวัยวะเพศเท่านั้น ไม่ได้ดูที่เรื่องอื่นๆ การนำเสนอของย่านนี้จะคล้ายๆกับเชิงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้คนดูรู้ว่ามนุษย์ทุกคนก็หนีไม่พ้นเรื่องราวของการทำศัลยกรรม เพื่อให้คนอื่นชอบ ถือว่าเป็นย่านที่ดูเครียดที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีการใช้นักแสดงตลก อย่าง เชอรี่ และ หอย มาร่วมถ่ายทอดด้วย เป็นตอนที่รู้สึกว่า ต้อม ยุทธเลิศ เครียดอะไรมาหรือเปล่า? เพราะมันออกแนวหนังที่คนดูทั่วไปต้องตีความ และพยายามทำความเข้าใจมากเกินไป

ส่วนที่ย่านที่ 3 เป็นการกำกับของ โก๊ะตี๋ อารามบอย ที่ต้องบอกว่าเป็นย่านที่คาดหวังกับความตลกที่สุด แต่ทว่ากลับเป็นย่านที่ไม่เหมือนอย่างที่คาด เพราะเป็นเรื่องราวของผู้กำกับคนหนึ่ง ก็คือ โก๊ะตี๋ ที่โดนหักหลัง จากสาวคนรัก “เป้ย” (กิ๊ฟซ่า) ที่เป็นดาราสาวที่หวังไต่เต้า ใช้ผู้กำกับอย่างโก๊ะมาเป็นสะพาน เพื่อให้ตนเองกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ทว่า เป้ย กลับ ปันใจให้กับ แอนดี้ (อี๊ด โปงลางฯ) และเมื่อโก๊ะเผอิญรู้ความจริง ก็เกิดความเศร้า เสียใจ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดบทบาทของแอนดี้ ซึ่งเรื่องราวในย่านนี้เมื่ออ่านคร่าวๆก็จะออกแนวดราม่าอยู่แล้ว แต่ด้วยความพยายาม ดูเหมือนโก๊ะตี๋จะสอดแทรกมุกตลกต่างๆ เข้ามาเผื่อผ่อนอารมณ์ไม่ให้คนดูเครียดตามไปกับตัวหนัง

โดยรวมแล้วทั้ง 3 ย่านเป็นหนังที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย โดยผ่านการนำเสนอที่แตกต่าง ซึ่ง 2 ย่านหลังเป็นย่านที่ดูแล้วออกอารมณ์เครียดไปสักหน่อย แต่ถ้าดูเอาฮาก็ต้องย่านแรก แต่ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบ ความชื่นชม ของแฟนๆ ผู้กำกับแต่ละคนกันด้วย.

บทวิจารณ์จาก mthai


แต่โดยส่วนตัวนะครับ หนังมันไม่ได้กลมกลืนกันเอาเสียเลย มุขตลกก็ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่
น่าเสียดายที่มีทั้งดารา นักแสดง คนเขียนบท ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมารวมกัน น่าจะทำได้ดีกว่านี้

กะลาน้อย

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Bounty Hunter



เป็นหนังทีมีพระเอกและนางเอก ดึงดูด มาก ๆ เลยทีเดียว
ทั้ง Jennifer Aniston และ Gerard Butler แสดงเป็น นิโคล และ ไมโล
ทั้งที่ได้คู่พระเอกและนางเอกที่เข้าคู่กันมากขนาดนี้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมหนังมันถึงได้เป็นอย่างนี้
เรื่องมันมีอยู่ว่า ไมโล เป็นนักล่าค่าหัว ที่ได้รับมอบหมายให้ไปล่าตัว นิโคล อดีตแฟน ซึ่งเป็นนักข่าว ที่หลบหนีการประกันตัว
ซึ่งระหว่างนั้นได้เกิดเรื่องยุ่ง ๆ มากมาย


ในเรื่องนี้จะว่ามันเป็นหนังตลก มันก็ไม่ตลกเต็มที จะว่ามันเป็นหนังโรแมนติก มันก็ไม่โรแมนติกเอาซะเลย
หนังเรื่องนี้คนจะเป็นยุคตกต่ำของ เจนิเฟอร์ และ เจอราร์ดแล้วล่ะ หนังนี้ให้วิจารณ์ว่าดีไม่ได้เลย
เอาเป็นว่า ทั้งพล็อตเรื่อง รวมทั้งดารา มันน่าจะเป็นหนังที่ดีมากแท้ ๆ แต่ว่าโดยรวมมันกลับเป็นหนังที่พอดูได้เท่านั้นล่ะ
อันนี้ผมคิดว่าน่าจะพลาด ที่Andy Tennant ผู้กำกับนะเนี้ย กำกับยังไงฟะ ทำไมหนังมันเป็นอย่างนี้
ถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่ได้ไปดู แนะนำว่าถ้าอยากดูรอหนังแผ่นเลยน่าจะดีกว่า
เพราะสำหรับผมมันไม่สนุกเอาซะเลย เสียดายตังค์มากกว่า


กะลาน้อย

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Shrek Forever After


วิจารณ์กันเลยนะครับ

Shrek เริ่มเรื่องด้วยการกลายมาเป็น ยักษ์ที่มีชีวิตที่แสนสงบสุข เป็นคุณพ่อที่แสนดี กับลูก ๆ ทั้งสาม เป็นที่รักของทุกคนในเมือง แต่จริง ๆ แล้ว Shrek อยากจะกลับไปเป็นยักษ์เหมือนเก่า
รัมเพลสติลท์สกิน จอมจ้อได้โอกาส จึงหลอกให้ Shrek เซ็นสัญญา ในงานวันเกิดของShrek ซึ่งทำให้เมือง ฟาร์ฟาร์อะเวย์เปลี่ยนไปจากเดิม
รัมเพลสติลท์สกิน กลาย เป็นพระราชา ยักษ์โดนตามล่า และทุก ๆ คนไม่มีใครรู้จัก Shrek แม้แต่ฟีโอน่า ก็จำไม่ได้


พล็อตเรื่องที่ดูง่าย ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน การ์ตูนเด็กที่เดาตอนจบได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรื่องนี้
แม้พล็อตเรื่องจะธรรมดา แต่หนังกลับไม่ธรรมดา ด้วยฝีมือผู้กำกับ Mike Mitchell และ นักเขียน Josh Klausner และ Darren Lemke
ภาพและการเคลื่อนไหวของกราฟฟิกเนียนมาก เนื้อเรื่องมีการลำดับได้ดี ทำให้เข้าใจได้ง่ายแม้จะไม่ได้ดูภาคแรก ๆ มาก่อน มีการใช้เพลงประกอบกับการเล่าเรื่องตอนแรกได้อย่างลงตัว มีมุขให้ฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ คือ เด็กก็จะฮามุกเด็ก แล้วผู้ใหญ่ก็จะฮามุกผู้ใหญ่ เนื้อเรื่องก็ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด คือไม่มีเจ็บหนัก ไม่มีตาย เพราะฉะนั้นถ้าจะนำเด็กไปดูก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความรุนแรงในเรื่องแม้แต่น้อย
Shrek (voiced by Mike Myers) and Rumpelstiltskin (Walt Dohrn) in DreamWorks Animation’s “Shrek Forever After.”
หากใครได้ดูแบบเสียงภาษาอังกฤษ เจ้าลา โดย Eddie Murphy และเจ้าแมว พุช โดย Antonio Banderas นี่จะฮามากขอบอก โดยเจ้าแมว พุช อิน บูท ฮาได้ทุกตอนที่ออกมาเลยทีเดียว ซึ่งมางวดนี้ มันก็ไม่ได้ อิน บูท ดูแล้วนึกว่าเป็นการ์ฟิลมากกว่า

ส่วนเสียงของ ฟีโอน่า โดย Diaz นั้น น่าจะฟอร์มตกลงไปหน่อยละมั้ง ส่วนคนอื่น ๆ ทำได้ดี โดยเฉพาะ ตัวร้ายของเรื่อง รัมเพลสติลท์สกิน โดย Walt Dohrn สมบทบาทมากทีเดียว


ส่วนเสียงภาษาไทย ไม่ได้ไปดูมา ใครไปดูมาก็คอมเม้นท์ให้หน่อยก็แล้วกันนะ
ถ้าใครชอบการ์ตูนสนุก แบบเด็ก ๆ เรื่องนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว เพราะไม่ซับซ้อน ไม่ซ่อนเงื่อน ไม่มีปริศนาอะไรทั้งนั้น การ์ตูนเด็กอย่างแท้จริง
สรุป Shrek Forever After เป็นหนังที่น่าพาลูกพาหลานไปดูครับ

วิจารณ์โดย กะลาน้อย

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

I Love You Phillip Morris

I Love You Phillip Morris (2009): รักนายนะตัวเอง จุ๊บๆ

I Love You Phillip Morris (2009) :
หนังดราม่า/ตลก ของ Jim Carrey (Yes Man [2008]) เรื่องนี้เขาเปิ๊ดสะก๊าดไม่ใช่เล่น เพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักหวานหยดย้อยของชาวเกย์ในคุก ที่สร้างจากเรื่องจริงอีกที เปิ๊ดไม่เปิ๊ดแค่ไหนก็คิดดูเอาละกัน ขนาดนี่ได้ชื่อว่าเป็นหนังของ Jim Carrey ที่มีหนุ่ม Ewan McGregor (Big Fish [2003]) มาขึ้นจอด้วยแล้ว ก็ยังประสบปัญหา หาผู้จัดจำหน่ายหนังในอเมริกายากเลย แถมที่ผ่านมาก็ได้แต่เปิดฉายแบบจำกัดโรงอีกด้วย งานนี้ชักยังไงๆ แล้วสิเนี่ย


หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยชายหน้าตาดีที่มา...สวีทกัน
ดูเหมือนว่ายอดชายนาย Steven Russell (Carrey) จะเป็นชายที่ดีพร้อม เขามีหน้าที่การงานที่ดี(เป็นตำรวจ) มีลูกและภรรยาที่น่ารัก เป็นที่รักใคร่จากเพื่อนฝูง แต่เมื่อคืนนึงเขาประสบอุบัติเหตุรถชน เขาก็จึงค้นพบสัจธรรม ลุกขึ้นมาประกาศความจริงแก่ภรรยาของตนว่า "ผมเป็นเกย์" เสร็จแล้วเจ๊แกก็ทิ้งเมียไปเสวยสุขกับคู่ขาหุ่นล่ำ(Rodrigo Santoro จาก 300 [2006]) ที่ไมอามี่ โดยทำมาหาเลี้ยงคู่ขาด้วยการเป็นนักต้มตุ๋นไปซะงั้น


เรื่องนี้พี่ Ewan McGregor เล่นได้จริตจะก้านนี่ใช่เลย
และแน่นอนที่จะต้องถูกซิวเข้าซังเตจนได้ ซึ่งที่นั่นเจ๊ก็ได้พบรักแท้กับนักโทษหนุ่มหน้าแบ๊วนาม Phillip Morris (McGregor) แต่หลังจากหวานชื่นกันได้ไม่นานก็เป็นอันต้องพลัดพรากจากกัน เจ๊จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะแหกคุกไปหายอดรักให้จงได้ ซึ่งแต่ละวิธีของเจ๊เขาเนี่ยแบบว่า...เอิ่ม คิดได้ไงเนี่ยทั้งนั้น ความรักของคนทั้งคู่จะลงตัวสุขสมหวังหรือไม่นั้น ก็หาคำตอบกันได้ที่สีลมซอยสอง เอ๊ย หนังเรื่องนี้กันได้เลยจ้า


จะอยู่ในคุกหรือนอกคุกป๋า Jim ก็ไม่เคยขาดคู่ขาเลย
ถึงจะเป็นหนังตลกที่เกี่ยวกับเกย์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเกย์ในหนังให้ออกมาดูมัวหมอง อันที่จริงถ้าไม่มีเฮีย Carrey แสดงนำ หนังก็เกือบจะเป็น หนังดราม่าเกย์น่ารักๆ ซึ้งๆ ได้เลยล่ะ (ปานนั้นเชียว?) แต่กระนั้นเฮียCarrey แกก็ไม่ได้เล่นตลก ทำตัวบ้าบอผิดมนุษย์มนา ทว่าขอตลกแบบพองามเพื่อไม่ให้เป็นที่แปดเปื้อนต่อสถาบันเก้งกวางอันทรงเกียรติแต่อย่างใด แต่ที่โดดเด้งจริงๆ ก็คือคุณพี่ McGregor ในบทนางเอก ที่มีจริตจะก้าน อ่อนช้อย หวานแหววได้ใจ ใช่เลย ถึงไม่ใช่หนังตลกประเภทที่ว่าดูไปขำขี้แตกขี้แตนไป แต่ก็มอบความบันเทิงให้ได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ตะขิดตะขวงใจในการที่ต้องเห็นหนุ่มทั้งสองจูบกันดูดดื่ม สบตากันอย่างมีความหมาย เต้นรำกันอย่างหวานซึ้งในห้องขังแคบๆ และสวีทกันทั้งเรื่อง (ป๊าด) คุณก็จะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยจ้า


ดูเหมือนหนังจบแต่คนจะยังไม่จบซะแล้วนะเนี่ย
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนัง ดราม่า/ตลก แนวเกย์ๆ ที่ทำได้น่าดู แสดงกันได้ดี ขำก็ยังได้อยู่ น่าสนใจๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครรับไม่ได้ที่จะเห็นป๋า Jim ดูดปากแลกขี้ฟันอย่างดูดดื่มกับคุณพี่ Ewan โปรดพึงหลีกเลี่ยงอย่างแรง
*อันเนื่องมาจากหนัง*

โฉมหน้าเจ๊ Steven Jay Russell ตัวจริงเสียงจริง
เห็นเรื่องราวในหนังเว่อร์ๆ แบบนั้นเหอะ แต่อย่าลืมว่าหนังสร้างมาจากเรื่องจริงของเจ๊ Steven Jay Russell เกย์นักต้มตุ๋นที่แหกคุกเป็นว่าเล่นจนได้รับฉายาว่า 'Houdini'(นักมายากลในตำนาน) หรือ 'King Con' ซึ่งว่ากันว่าเขามี IQ สูงถึง 163 เลยทีเดียวเชียว

เรื่องราวชีวิตเขาก็คล้ายๆ กับที่เห็นในหนังแต่เราขอเพิ่มเติมสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเขาดังต่อไปนี้
  • ตลอดหลายปีเขาปลอมตัวเป็นบุคคลอาชีพต่างๆ กว่า 14 ตัวตน ประกอบไปด้วยทั้งอาชีพ ทนาย ผู้พิพากษา ตำรวจ ช่างซ่อม นักจิตวิทยา ฯลฯ
  • ในปี 1996 ระหว่างที่ติดคุกใน Texas เขาเข้าเรียนชั้นศิลปะ แล้วก็แอบขโมย 'สีเมจิก' มาซ่อนไว้ใต้เตียงทีละแท่งสองแท่ง จนเยอะพอที่จะย้อมชุดนักโทษของตนให้กลายเป็นสีเขียว เพื่อจะได้เหมือนเครื่องแบบของหมอ แล้วเขาก็เดินออกจากคุกได้หน้าตาเฉยเลย(ฮ่วย)
  • อีกแผนหนีคุกอันเด็ดขาดของเขาก็คือ การกินยาระบายให้ดูเหมือนคนจะป่วยเป็นเอดส์ และก็ปลอมเอกสารจนได้ออกไปรักษาอาการอยู่ข้างนอกคุก แล้วก็ปลอมเอกสารหลอกหมอข้างนอกอีกทีว่าตนได้ตายแล้ว เสร็จแล้วก็ลอยนวลไปได้อย่างสบายใจเฉิบ
  • เขายังมีวีรกรรมหนีคุกอีกเยอะ แต่ในที่สุดเมื่อปี 1998 เขาก็ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง และครั้งนี้รวมโทษเสร็จสรรพของเขาทั้งสิ้นได้ทั้งหมด 144 ปี โดยจะต้องถูกจองจำอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการหลบหนีอีก
  • ปัจจุบันนี้เขามีอายุ 52 ขวบและยังอยู่ดีมีสุขในคุก ก็ต้องคอยดูต่อไปว่า เขาจะสามารถหนีออกมาลั้ลลาได้อีกครั้งหรือไม่ สู้เขานะเจ๊!
วิจารณ์โดย Nanatakara


เพิ่มอีกนิด
ความรู้สึก เห็นความพยายามของเกย์โลกแตกอย่างเจ๊ Steven ที่ทำทุกทางเพื่อให้ได้สมหวังกับคนรัก แล้วนับถือหัวจิตหัวใจของแกจริงๆ รักไม่มีพรหมแดน กรงขังก็มิอาจขวางกั้น ดูเป็นหนังดราม่ารักโรแมนติกอยู่เหมือนกัน เรื่องนี้ Jim ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์เดิมๆของเขา รับบทเกย์ไอคิวสูง Steven Russell ที่ฉลาดและแร่ดได้บ้าบอได้มาก ส่วน Phillip Morris ที่เล่นโดย Ewan ม่ะน่าเชื่อว่าจะเล่นได้น่ารักน่าเอ็นดูน่าทะนุถนอมขนาดนั้น อย่างนี้สิ Steven ถึงได้หลงหัวปักหัวปำ ทำอะไรเพื่อหล่อนได้มากขนาดนั้น

กล้าเล่น กล้าฉีกบทบาทกันทั้งคู่ นับถือๆ ไม่แคร์สื่อกันจริงๆ

ถือเป็นหนังที่ดูสนุก ขำๆ กับอานุภาพแห่งรักที่ไม่ธรรมดา ที่ ชาย-หญิง หากไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนไปเสียก่อน คงอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว




สิ่งที่ชอบ พล๊อตเรื่องที่โครตเปรี๊ยว บ้าสุดๆ การเล่าเรื่องที่ดูสนุก ชวนขำได้ตลอดเวลา แถมมีมุขตลกร้ายๆ ตามแบบฉบับ Jim Cary ที่เล่นได้หน้าตายมาก ดูแล้ว Ewan รับบท Phillip Morris แบบสบายๆ ชิลล์ๆ เล่นได้เนียนเหมือนเป็๋นเกย์สาวจริงๆ การถ่ายภาพสวย สถานที่ดนตรีประกอบลงตัวดี

สิ่งที่ไม่ชอบ ได้ข่าวว่าถูกตัดฉากแรงๆบางส่วนออกไป หาก Jim ลดความเป็นตัวของตัวเองลงมาสักหน่อย หนังน่าจะดูดราม่าหวานซึ้งได้ขึ้นมาอีกสักนิด

สรุป เป็นหนังเกย์แตก ที่เกย์ เก๊ย์ เกย์ ที่บ้าสุดๆ

ความรู้สึกโดย แคบซูลสีฟ้า

Robin Hood

"Rise and rise again untill lambs become lions."

ROBIN HOOD

Robin Hood ภาคนี้ไม่ได้เป็นหนังรีเมคมาจากหนัง
Robin Hood เวอร์ชั่นไหนๆทั้งนั้น แต่เป็น Prequel (ภาคก่อนหน้า,ภาคต้นกำเนิด) เหมือนเช่น Star Wars: Episode I-III, Batman Begins, Casino Royale ฯลฯ

ฉะนั้นหากดู Robin Hood เวอร์ชั่นนี้จบเมื่อไหร่ กลับถึงบ้านหยิบ Robin Hood ฉบับแอนิเมชั่นของ Disney หรือฉบับคนแสดงที่ Kevin Costner แสดงนำมาดูต่อเลยก็ยังได้ (แถม Robin Hood ภาคนี้ จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นภาคต่อของหนังสงคราม-Epic เรื่องก่อนของผกก. Ridley Scott อย่าง Kingdom of Heaven ได้อยู่ เพราะในตอนจบของ KoH เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ยาตราทัพไปตีเยรูซาเล็ม ในขณะที่ตอนต้นเรื่องของ Robin Hood เป็นตอนที่พระเจ้าริชาร์ดถอยทัพกลับอังกฤษ)

ซึ่งตัวหนัง Robin Hood ภาคนี้เองก็อธิบายที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวและเป็นการปูพื้นเรื่องราวทั้งหมดเพื่อที่เรื่องราวใน Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่นี้จะสามารถดำเนินต่อไปจนกลายเป็นเรื่องราวของ Robin Hood ในเวอร์ชั่นอื่นๆได้จริงๆ

สองนักแสดงนำชาย-หญิงดีกรีออสการ์ของเรื่อง Russell Crowe กับ Cate Blanchett เล่นได้ดีตามมาตรฐาน(อันสูงลิบ)ของตัวเอง(และถึงจะน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นสองคนนี้ปล่อยพลังดาราเหมือนตอนที่ต่างฝ่ายเล่นเรื่อง Gladiator กับ Elizabeth ข่มกัน แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเสียดายอะไรมากมายเพราะตัวหนังก็ไม่ได้เรียกร้องให้สองนักแสดงปล่อยของออกมาเยอะๆ)

โดยพระเอกของเรื่อง Russell Crowe ไปได้ดีกับบท Robin Hood (ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนครหาว่าหุ่นไม่ให้บ้าง ทรงผมไม่ใช่บ้าง) ทำให้คนดูเชื่อได้จริงๆว่าตัวละคร Robin Longstride ในภายหลังจะกลายเป็นจอมโจร Robin Hood ได้จริงๆ(ไม่ว่าจะเป็น Robin Hood เวอร์ชั่นไหนก็ตาม)


และยังสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดูกับตัวละคร แม้จะไม่เข้มข้นเท่าคราวรับบทเป็น Maximus แต่ก็ไม่โหวงเหวงเท่ากับบทของ Balian de Ibelin (Orlando Bloom) พระเอกของเรื่อง Kingdom of Heaven ที่จู่ๆไม่รู้ไปเก็บเลเวลมาจากไหน? จากช่างตีเหล็กธรรมดาภายหลังได้เป็นขุนพลผู้พิทักษ์คนสุดท้ายแห่งเยรูซาเล็มไปซะงั้น

ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นๆก็เกลี้ยๆบทกันไป จะมี Max von Sydow ดารารุ่นเก๋าที่รับบทเป็น Walter Loxley อัศวินเฒ่าผู้รับ Robin เป็นลูกบุณธรรมนี่แหละที่ดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน(แต่ก็ในฐานะตัวประกอบ...เอ้ย!? นักแสดงสมทบอ่ะนะ)



เรื่องโปรดักชั่นคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็ตามมาตรฐานหนังบล็อกบัสเตอร์ฮอลลีวู้ด ฉากรบตอนท้ายเรื่องที่ถือเป็นไคลแม็กซ์ทำออกมาอลังการใช้ได้ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ารุ่นพี่ๆอย่าง LOTR, Troy, Kingdom of Heaven ฯลฯ

โทนของหนังเองก็ออกแนวแมนๆ หึกเหิมตามฟอร์ม แต่ไม่ได้หึกเหิมแบบแอบซึ้งแบบ Braveheart, ไม่ได้หึกเหิมปนจริงจังเคร่งขรึมแบบ Gladiator, และไม่ได้หึกเหิม บ้าเลือด โหด โฉด เถื่อนแบบ 300 คือเป็นความรู้สึกหึกเหิมที่อยู่ตรงกลาง ตามมาตรฐานอีกนั่นแหละ(เบื่อเหมือนกันที่ต้องแต่ใช้คำเดิมๆอ่ะนะ)

เนื้อเรื่อง ช่วงแรกของหนังจะเป็นการปูพื้นตัวละครของ Robin ส่วนช่วงหลังจะเข้าสู่ประเด็นของหนังจริงๆ(อิสรภาพ ความเท่าเทียม ลูกแกะล่าซิมบ้า บลาๆๆ) มีการพูดปลุกใจ หึกเหิมเข้าไว้แล้วไปรบกัน แล้วก็รบกันตามสูตร (แนวๆ Avatar เลย) ...


สรุปนะครับ หนัง Robin Hood เวอร์ชั่นใหม่ของผกก. Ridley Scott ในสายตาของผมทำออกมาได้"ตามมาตรฐาน"(อีกแล้ว)ครับ เป็นหนัง Prequel ที่ไม่ได้ดีเลิศเพอร์เฟ็กต์ขนาด Batman Begis หรือแย่แถมออกทะเลแบบ Hannibal Rising

ใครที่ชอบหนังสงคราม-Epic, ชอบสองนักแสดงนำของเรื่อง จะตีตั๋วเข้าไปดูก็คงไม่น่าเสียดายตังค์หรอกครับ แต่หนังมันไม่ถึงขั้น"ชอบมาก ห้ามพลาด ต้องดูให้ได้"ก็เท่านั้น(แต่ก็อย่างว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ ความเห็นของผมฟังหูไว้หูก็พอ)

ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 7.5/10 ครับ...

โดย Apple101