Search

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิจารณ์ โป๊ะแตก

บังเอิญหนังเรื่องนี้มีคนดูมาแล้ว และผมคิดว่าบทความของคุณ เด็กภูเวียงโดยกำเนิด น่าจะให้มุมมองที่ดีให้กับผู้ที่คิดจะไปดู ผมเลยไปขอบทความมาลงไว้ในบล็อกครับ
ต้องขอขอบคุณ คุณ เด็กภูเวียงโดยกำเนิดที่ ให้ความกรุณาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

[โป๊ะแตก] การกลับมาอีกครั้งของหนังตลกหยาบคายไร้สาระ! (มีสปอยล์บ้างตามความเหมาะสม)

ไปดูมาเมื่อวานครับรอบสามทุ่มที่โรงหนังแถวมหาวิทยาลัย คนแน่นโรงตามคาด
ชื่อคุณหม่ำการันตีความสนใจของคนดูแถวนี้ได้ตลอดครับ
ขอวิจารณ์ตัวหนังเป็นส่วนๆไปนะครับ
เครดิทต้นเรื่อง ผมว่าทำได้น่าเบื่อมากมายครับ มุขเมิกอะไรในส่วนนี้ก็จืดชืดจริงๆ
ไม่สมกับเป็นหนังตลกของคุณหม่ำเลยครับ นึกว่านั่งดูเบ๊นท์โบ๊ทอยู่
ตัวเรื่อง เป็นบรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายหนังที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ฮาๆ
คำพูดหยาบคาย การใช้กำลังทั้งตบทั้งถีบ มาให้คนดูหัวเราะ
ฮาตรึมบ้างฮากริบบ้างตามความโป้งความแป๊กของแต่ละมุข
โดยรวมผมว่าตลกกว่าวงษ์คำเหลาและแหยมสองเสียอีก
ฉากที่ผมตลกมากๆมีอยู่สามฉาก ได้แก่ ฉากบวงสรวง ฉากรายการทีวี และฉากเลิฟซีน
นอกนั้นไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ ส่วนฉากพี่ตุ๊กกี้น่าเสียดายที่เห็นในตัวอย่างบ่อยแล้วพอดูของจริงเลยไม่ค่อยฮาเท่าไหร่
รอบที่ผมดูมีผู้ปกครองพาเด็กประถมสามสี่คนมาดูด้วย ทั้งที่หนังได้รับเรท น15+ หมายถึงเหมาะกับผู้ชมที่มีอายุสิบห้าปีขึ้นไป
อย่างที่บอกว่าหนังอุดมไปด้วยคำหยาบคายและตลกทำร้ายร่างกายตลอดทั้งเรื่อง แล้วเด็กเหล่านั้นจะได้ซึมซับอะไรไปบ้างผมไม่อยากจะคิด
ผมอดตำหนิผู้ปกครองวิจารณญาณต่ำเหล่านั้น(ในใจ)ไม่ได้ ผมจะไม่โทษผู้สร้างหนังอีกต่อไป เพราะมีการจัดเรทแล้ว ผู้สร้างก็ควรมีอิสระในการสร้างสรรผลงานได้
ผมขอโทษผู้ปกครองที่พาเด็กเข้าไปดูมากกว่า คงคิดว่ามันเป็นหนังตลกเด็กน่าจะดูได้
"หนังตลกไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กเสมอไปนะครับ"
ผู้ปกครองเหล่านั้นอาจไม่ทราบว่ามันไม่เหมาะกับเด็กอย่างไร ทำไมถึงได้เรต น15+
ผมอยากให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบระบุลงไปเลยครับกับการจัดเรตแต่ละเรื่องว่าได้เรตนั้นเรตนี้เพราะอะไร เหมือนที่อเมริกาทำ
เช่น ภาพยนตร์เรื่อง"โป๊ะแตก"ได้รับเรต น15+ เนื่องจากมีการใช้คำหยาบและฉากทำร้ายร่างกายเพื่อความหรรษาตลอดทั้งเรื่อง
ผู้ปกครองจะได้กรองได้ว่าควรจะให้ลูกหลานตัวเองดูได้รึเปล่า
เท่านี้แหละครับที่ผมต้องการ

ปล.ตกลงผมมาวิจารณ์หนัง ผู้ปกครองวิจารณญาณต่ำ หรือระบบการจัดเรตกันเนี่ย (งงตัวเอง)

จากคุณ : เด็กภูเวียงโดยกำเนิด
เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 21:46:55


วิจารณ์ Prince of Persia: The Sands of Time

Prince of Persia: The Sands of Time


หนังเรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time เป็นหนังที่สร้างมาจากซีรีย์เกมส์ผจญภัย Prince of Persia โดยเอาภาค The Sands of Time ในเครื่อง PS2 มาทำซี่งต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หนังเรื่องนี้ทำมาได้ดีจริง ๆ ไม่เหมือนหนังที่สร้างมาจากเกมส์เรื่องอื่น ๆ ที่เวลาที่คอเกมส์ตั้งตารอ แล้วได้ดูจริง ๆ แล้วจะรู้สึกเหวอ เสียดายตังค์ ไม่คุ้มกับที่ตั้งหน้าตั้งตารอ

เรื่องนี้พระเอกชื่อ ดัสตัน เป็นเด็กข้างถนน ได้มีเหตุให้ได้แสดงฝีการปีนป่ายวูบวาบให้กับราชาได้เห็น ราชาจึงรับไปเลี้ยงเป็นลูก เลยกลายเป็นเจ้าชายซะงั้น
เมื่อเวลาผ่านมา สามเจ้าชายก็ได้ไปบุกเมือง Holy city of Alamut ของเจ้าหญิง ทามิน่า (ชื่อเมืองกับชื่อเจ้าหญิงไม่เหมือนในเกมส์นะจ๊ะ ในเกมส์รู้สึกจะชือ ฟาร่า กับเมืองบาบิลอน ถ้าผิดต้องขออภัย) ระหว่างต่อสู้กันชุลมุน ดัสตันบังเอิญได้กริชแห่งกาลเวลามาไว้ในครอบครอง เรื่องวุ่น ๆ มันก็เลยเกิดขึ้น

วิจารณ์กันเลยดีกว่า
หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเกมส์ โดยที่มี Plot เรื่องเดียวกัน แต่เนื่้อเรื่องนั้นแตกต่างกันออกไปเลย ดังนั้นใครที่เล่นเกมส์มาแล้วจะมาเดาทางได้ก็ อย่าหวัง แล้วก็จะได้ไม่ต้องมาคอยพูดว่าทำไมไม่เหมือนในเกมส์เลย เพราะมันไม่เหมือนกันเลยต่างหาก

princeofpersiareview.png

จะว่าไม่เหมือนกันเลยแล้วมาใช่ชื่อเรื่องเดียวกันทำไมวะ ก็ต้องบอกว่ามันก็มีเหมือนกันบ้าง ก็คือ
1.กริชแห่งกาลเวลา ที่เป็นชื่อเรื่องนั่นล่ะ ที่เป็นกริชวิเศษที่สามารถทำให้ย้อนเวลาได้เหมือนกัน
2.พระเอกเป็นเจ้าชายเหมือนกัน แต่ในเกมส์เป็นเจ้าชาย ในหนังเป็นเด็กกำพร้าข้างถนนที่ถูกกษัตรย์เก็บมาเลี้ยงก็เลยเป็นเจ้าชาย แต่ที่เหมือนกันและเป็นเอกลักษณ์ของ Prince of Persia คือ พระเอกจะต้องคล่องแคล่วว่องไว ปีนป่าย ยังกะสไปเดอร์แมนเหมือนกันนั่นเอง
3.นางเอกเป็นเจ้าหญิงของเมืองที่พระเอกเข้าโจมตีเหมือนกัน แต่เป็นคนเมือง คนล่ะคนกัน

หนังเรื่องศึกชิงมีดนี้การเดินเรื่องค่อนข้างเดาง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรมากไปกว่าแย่งมีดกันไปมา และไม่เหมือนในเกมส์ แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ เพราะจะไปซับซ้อนมาก ๆ เหมือนและตามเรื่องในเกมส์คงจะทำไม่ได้ เพราะหนังมีเวลาจำกัด คิดว่าถ้าเดินเรื่องตามในเกมส์หนังก็คงจะไม่สนุกเหมือนหนังที่ทำมาจากเกมส์เรื่องอื่น ๆ
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นฉากต่อสู้ตามสไตล์ Prince of Persia เป็นจำนวนมาก การดวลดาบเช้ง ๆ การปีนป่ายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ของ ดัสตัน และยังอุตสาห์มีฉากผจญภัยไปในห้องลับที่มีกับดัก ฉาก CG ทำได้ดีพอใช้ได้ไม่ถึงกับดีมาก ตอนฉากทรายดูดดูยังไง ๆ ก็ไม่เนียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังจะไม่สนุกน่ะนะ เพลงประกอบก็ทำได้ดีเวลาดูแล้วรู้สึกอินไปกับหนังด้วย
การแสดงของนักแสดงทำได้ดี โดยเฉพาะพระเอก Jake Gyllenhaal ที่เปลี่ยนจาก เด็กเรียนในเรื่อง The day after the tomorrow มาเป็น Prince of Persia ที่มีร่างกายแข็งแรงทะมัดทะแมงได้สมบทบาท ส่วนนางเอก Gemma Arterton ก็แสดงได้ดี กัดกับพระเอกตลอดเรื่อง อีกสองคนที่ทำให้หนังมีสีสันคือ Amar แสดงโดย Alfred Molina และพี่มืด (จริง ๆ มีชื่อนะ) แสดงโดย Steve Toussaint

โดยส่วนตัวชอบฉากดวลมีดบินของพี่มืดกับคุณซอมบี้ ดูแล้วลุ้นดี ถ้าฝีมือดีขนาดนี้น่าไปปามีดแข่งกับ พวกบ้านมีดบินนะเนี่ย
และโดยส่วนตัวอีกเหมือนกัน ตอนเจ้าหญิงหนีออกจากเมืองมาหลบอยู่กลางทะเลทราย แล้วเจ้าชายหนีตามทาทีหลัง มันตามหาเจอง่ายจังวะ เดินไปก็เจอเลยนี่มันทะเลทรายหรือว่าสวนหลังบ้านวะเนี้ย

ผลพวงจากหนังเรื่องนี้น่าจะทำให้เกิดวรรคทอง Difficult Not Impossible เพราะเป็นประโยคที่ทำให้พระเอกเท่ห์สุดประมาณ ในฉากไปหาพ่อ (เท่ห์ตอนพูดนะ ไม่ได้เท่ห์ตอนไปหา) อารมณ์ว่ายากไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้
สรุปเป็นหนังที่ดูแล้วน่าจะคุ้ม ถ้าใครไม่เคยเล่นเกมส์มาผมว่าน่าจะสนุกมากกว่า
ถ้าคนที่เคยเล่นเกมส์มาก็อย่าไปยึดติดกับเกมส์ก็จะดูได้สนุกเหมือนกัน
ต้องขออภัยที่ Review แต่หัววันเลยไม่กล้าจะเล่าอะไรมาก กลัวสปอยล์

ให้ 8/10


กะลาน้อย

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Be With You (Return)

อันเนื่องมาจากการจากไปของโรงหนังที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
จากโรงหนังที่เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตเปลี่ยนเป็นโรงหนังที่เป็นตำนานที่เหลือแต่เรื่องเล่าไปแล้วจริงๆ
เพื่อการรำลึกมีการเอาหนังสุดซึ้งในอดีตมา ฉาย กระชากน้ำตาซะหลายเรื่องเลย

ใครที่เคยดูเรื่องนี้มาแล้วก็จะรู้ว่า ไม่รู้จะ Review ยังไง ให้คนที่อ่านแล้วไปดูไม่เสียอรรถรสในการรับชม
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเก่าแล้วเอามาฉายใหม่ เชื่อว่ามีคนจำนวนมากเคยดูมาแล้ว ถ้าจะหาสปอยล์มาอ่านละก็มีมากมายในอินเตอร์เน็ทอยู่แล้ว
ผมเลยเลือกเอาบทวิจารณ์ ที่เค้าไม่สปอยล์มาให้ได้อ่านกันครับ เพราะถ้าให้วิจารณ์เองนี่มันยากมากๆ เลย
บทวิจารณ์นี้เอามาจาก http://www.popcornfor2.com/movies/archives/ft_082.html
โดยคุณ นีอุง
นีอุง นีอุง 07/05/05

ฟันธง : Be with You : Be with Me...once and again...

ผมพยายามแล้วนะครับ พยายามมากๆ ด้วย ในการที่จะกลั้นใจไม่ให้สะเทือนใจมากขนาดนี้กับ Be with You หนังรักโรแมนติกจากประเทศญี่ปุ่น ที่โกยเงินและโกยกล่องกันเป็นที่สนุกสนานในญี่ปุ่น ...ผลเหรอครับ? ผมแพ้ยับครับ นั่งคอตกปาดน้ำตากันไม่ห่วงหล่อเลยทีเดียว

มีหลายๆ อย่างในหนังที่ผมไม่อยากเชื่อ ผมไม่อยากเชื่อว่า นี่เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ของผกก.Nobuhiro Doi ผมไม่อยากจะเชื่อว่าพระเอก Shido Nakamura จะลบภาพไอ้โล้นโหดในเรื่อง Ping Pong ได้ และผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า นางเอก Yuko Takeuchi จะน่ารักสดสวยมากกว่าที่เคยเห็นเธอมาจากเรื่องก่อนๆ ได้อีก (ขออภัยหากส่วนตัวไปนิ๊ด) แต่สิ่งหนึ่งที่ Be with You ทำให้ผมเชื่อคือผมเชื่อว่า Mio เธอกลับมาจริงๆ ในฤดูฝนของวันครบรอบการตาย 1 ปีของเธอ และจุดนี้เองที่บอกผมว่า ตัวหนังประสบความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งค่อน ที่เหลือก็เพียงแค่พยายามประคองเนื้อหาที่เหลือไม่ให้ออกทะเลจนเกินไป แค่นี้ก็จับผู้ชมได้อยู่หมัดแล้ว

แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าผกก. Doi จะเป็นพวกลัทธิซาดิสต์ที่ชอบทรมานคน ด้วยการให้ผู้ชมร้องไห้จนร่างกายขาดน้ำตายหมู่กันคาโรง เพราะตัวหนังไม่หยุดอยู่เพียงแค่ “ประคองเรื่องที่เหลือไม่ให้ออกทะเล” แต่กลับนำพล๊อตที่ดีและน่าสนใจมากอยู่แล้วในระดับเกรด A ซึ่งหากเป็นหนังรักเรื่องอื่นๆ เรื่องราวแค่นี้ก็คงจะ “ได้ใจ” ผู้ชมมากพอจนโกยเงินโกยทองได้อยู่แล้ว แต่ Be with You นำพล๊อตเรื่องระดับ A นี้ มาต่อเติมเสริมความจี๊ดจนกลายเป็นพล๊อตระดับ “A พิเศษ (เพิ่มเส้นเพิ่มลูกชิ้น)” โดยการสอดแทรกมุขที่คัดมาแล้วว่าจี๊ดมาก (มากจนถึงขั้นดิ้นกันกลางโรง ) มุขแล้วมุขเล่าใส่เข้ามาในเนื้อเรื่องที่แสนจะแน่นปึ๊ก แต่อ่อนโยนได้ถูกใจคอหนังรักจนนั่งดูไปก็ร่ำๆ อยากโทรไปบอกรักแฟนกันซะเดี๋ยวนั้น

อันที่จริง ผมพบว่าการเขียนถึง Be with You นี้ เป็นการเขียนถึงหนังที่ยากมากๆ เรื่องหนึ่ง ประการแรกคือผมมักจะบรรยายหนังที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ(เช่นเรื่องนี้) ออกมาเป็นคำพูดได้ยากโดยไร้สาเหตุอยู่เสมอ ประการที่สอง หลายๆ ช่วงในหนังอยู่ในขั้น “ความลับทางราชการ” ห้ามเผยแพร่โดยเด็ดขาด(ใครฝ่าฝืน ผมขอแช่งให้แฟนหนีไปดูกับกิ๊ก) และประการสุดท้าย ซึ่งผมเห็นว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดของหนัง คือบทหนัง Be with You นั้น มีรายละเอียดซับซ้อนยอกย้อนยิบย่อยมากมายแฝงเร้นกาย รอให้คุณจะจับจุดจี๊ดเป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่า เมื่อคุณชมหนังจบ คุณสามารถมานั่งย้อนนึกถึงมุขหวานอันนั้น มุขซึ้งอันนี้ที่คุณสังเกตหรือนึกไม่ทัน ณ ขณะที่ดูได้อีกเป็นคุ้งเป็นแคว

หากจะมีข้อติติงกันอยู่บ้าง (ตรงนี้ผมขอสารภาพว่า ผมทำไปตามหน้าที่บังคับจริงจริ๊ง...ลึกๆ แล้ว ผมไม่ได้แคลงใจอะไรเลยแม้แต่น้อย) คงอยู่ที่หลายๆ ช่วงในหนังดูคล้ายๆ ว่าจะ ‘ได้รับอิทธิพล’ จากหนังเกาหลีบ่อยไปสักหน่อย หลายๆ ฉากดูคุ้นๆ ตาพอสมควร แต่กระนั้น ผมขอยืนยันว่าเป็นการได้รับอิทธิพลที่นำ “ของดี” มาสานต่อให้เป็น “ของดีมากถึงมากที่สุด” การหยิบยืมเหล่านี้ล้วนนวลเนียนเป็นเนื้อเดียว สอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล รับส่งกับตัวเรื่องที่วางเอาไว้และที่สำคัญคือ ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาทีเลยว่าใส่มาเพื่อขายของกันเท่านั้น (เอ๊ะ นี่ผมกำลังพูดถึงข้อเสียหรือข้อดีกันนะ?) ...เอาเป็นว่า ผมเปิดใจกันตรงๆ เลยแล้วกันว่าข้อเสียของ Be with You นั้นมีอยู่บ้าง แต่ผมมองข้ามมันไป ด้วยความที่ผมเลือกที่จะใช้ใจดูมากกว่าใช้ตาทั้งสี่ของผม

ดารานำทั้งสามคน ล้วนได้ใจผมไปเต็มๆ และลุ้นให้ได้ “เข้าชิงรางวัลกันยกบ้าน” เริ่มจาก Yuko ที่สวยสง่า สดใส น่ารักมากขึ้นกว่าเรื่องก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด(กับคอสตูมที่ดูดีขึ้นจาก Yomigaeri จนน่าดีใจแทน) ฝีมือทางการแสดงของเธอในเรื่องนี้นิ่ง ลึกและเข้าถึงตัวละครได้ในระดับดาราแถวหน้าของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ในขณะที่บทลูกชายของ Akashi Takei ก็น่ารักน่าชัง สดใสแต่ไม่แก่แดด ไม่บีบน้ำตาจนหมดอารมณ์เหมือนหนังขายเด็กเรื่องอื่นๆ และสุดท้ายกับ Shido ที่เปลี่ยนตัวเอง “จากหน้ามือตัวเองเป็นหลังเท้าชาวบ้าน” จากไอ้โหดในเรื่อง Ping Pong มาเป็นคุณพ่อเฉิ่มเบ๊อะที่แสนน่ารักได้น่าเชื่อถือมากอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ส่วนงานด้านเทคนิคของหนังอยู่ในเกณฑ์เหนือมาตรฐานแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านภาพที่นอกจากจะงดงามทรงพลังแล้ว ยังสื่อถึงอารมณ์ของตัวละครและส่งความหมายแฝงมายังผู้ชมได้ดี อีกทั้งดนตรีประกอบที่รับใช้ตัวหนังดีเยี่ยม สามารถเร้าอารมณ์ผู้ชมได้แทบจะทันทีที่ขึ้นโน้ตตัวแรก ในขณะที่ไม่ไพเราะ และเป็นเอกภาพมากจนไปบดบังเรื่องราวของหนัง

หากมองด้วยมุมมองของการทำภาพยนตร์แล้ว Be with You อาจไม่มีคุณค่าครบถ้วนเต็มร้อย แต่หนังเรื่องนี้มอบคุณค่าทางจิตใจให้ผู้ชมจนเกินร้อย เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเรียกได้เต็มปากว่า มีศักยภาพมากพอที่จะยกระดับจิตใจผู้ชมได้ อย่างน้อยๆ ตัวหนังจะทำให้คุณตระหนักได้ว่า ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนั้น ทรงคุณค่าเพียงไรกับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ ทั้งนี้ ผมคงไม่แสดงความชื่นชอบ Be with You อย่างออกนอกหน้ามากไป จนกระทั่งนำไปเทียบกับหนังญี่ปุ่นโรแมนติกในตำนานอย่าง Love Letter ของผกก.ชุนจิ (แม้ว่าโดยส่วนตัวจริงๆ แล้ว ผมจะคิดเช่นนั้นก็ตาม) เอาเป็นว่าหาก Nobody Knows เป็นหนังฟ้าประทานของหนังญี่ปุ่นแนวดรามาในปีนี้ ผมขอยกให้ Be with You เป็นหนังฟ้าประทานในประเภทหนังรักโรแมนติกแล้วกัน ....และผมไม่ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า ‘ในปีนี้’ นะครับ....นีอุงลองแล้ว เยี่ยมยอดมากๆ ครับ]!!

official site : www.bewithyou.co.kr ,http://www.tbs.co.jp/movie/english/bewithyou/



neunth@yahoo.com
นีอุง นีอุง 07/05/05


โดยส่วนตัวแล้ว เรื่องนี้ถ้าไปดูกะแฟนรักกันตายห่าเลย ถ้าไปดูกะกิ๊ก....ข้ามไปก็แล้วกัน
ถ้าไปดูพ่อแม่ลูกก็ดีมากเหมือนกัน เพราะหนังเกี่ยวกับความรักระหว่าง พ่อแม่ลูก ระหว่าง พ่อ-ลูก แม่-ลูก พ่อ-แม่ ครบเลย
ถึงเคยดูมาแล้วไปดูอีกรอบกับคนที่รู้ใจผมว่าคุ้มนะ


The Message (Feng sheng)

The Message (Feng Sheng / 风声)


สำหรับหนังเรื่องนี้ผมก็ได้ดูมาสักพักแล้วล่ะครับแต่ว่าไม่อยากจะ Review เองกะว่าจะรอ ให้คนมา Review ก่อนแล้วค่อยก๊อบของเค้ามาสะสมไว้ใน blog รวบรวมของผม แต่ว่ารอไปรอมาหลายวันแล้วไม่เห็นมีใคร Review สักที ก็เลย Review เองเลยก็แล้วกันนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครอง ในหนังเค้าว่าปี 1942 (ค.ศ.) ช่วงนั้นคณะทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาบริหารประเทศจีนผ่านคณะรัฐบาล นอมีนี
ซึ่งกลุ่มใต้ดินของจีนก็มีความพยายามล้วงความลับและพยายามจะลอบสังหารทหารระดับสูงของกองทัพญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นก็รู้ทันทีว่าต้องมีสายลับส่งข้อมูลให้กับกลุ่มใต้ดิน

ความซวยจึงมาบังเกิดกับผู้ทีทำงานเกี่ยวกับการถอดรหัส ที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งกระบิ ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปสอบสวนด้วยวิธีการอันเกินบรรยาย พวกเขาและเธอก็รู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่มีใครได้กลับออกไปอีก เขาและเธอทั้งสองต้องหาวิธีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อเอาร่างกายที่ยังหายใจออกไปให้ได้


หนังเรื่องนี้มีการเล่าเรื่องที่กระชับ รวดเร็ว เนื้อ ๆ เน้น ๆ ไม่ยืดเยื้อยาวนาน เริ่มมาได้ติ๊ด ๆ ก็เข้าเรื่องทันที เนื้อเรื่องช่างเข้มข้นอะไรอย่างนี้ นักแสดง หลัก ๆ ก็คงจะมี สัก 7-8 คนเห็นจะได้ อยากจะบอกกับเพื่อน ๆ ว่า จำชื่อไม่ได้ซ้ากกกกกคน แต่ว่าทุกคนแสดงได้ดีมาก ๆ เอาว่าดูแล้วรู้สึกอินว่ะ ระหว่างดำเนินเรื่องๆ ก็จะมีปมต่าง ๆ มาให้เราเดาเป็นระยะ ๆ พล็อตเรื่องวางมาได้ดีมาก
อาจมีช๊อตเขย่าขวัญบ้าง (หมายถึงช๊อตสอบสวน เค้นความลับด้วยการทรมาน) จิง ๆ ก็ไม่บ้าง มากเหมือนกัน หรืออาจไม่มาก แต่ว่าแต่ละช๊อตนี่ ดูแล้วสยองโว้ย
ช๊อตผู้ชายโดนทรมานนี่เราดูก็รู้สึกทรมานตามไปด้วย หยึ๋ยยยย
ช๊อตสุดท้ายที่เอาผู้หญิงไปทรมาน ทหารสองสามคนเค้าจับเอาผู้หญิงมานั่งบนเชือกเส้นใหญ่ที่ขึงไว้ แล้วก็จับผู้หญิงรูดไปกับเชือกโดยให้อวัยวะถูไปกับเชือก เห็นแล้วแบบ.....
ไม่อยากเล่ามาก ไม่อยากสปอยล์ แต่เห็นแล้วสยองอย่างยิ่งยวด
แม้จะมีปมในเรื่องให้มาเดาเรื่อยๆ แต่เนื้อเรื่องออกจะเดาง่ายสักนิดนึง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด เรื่องที่ถูกดำเนินโดยสองนางเอก (นางเอกสวยด้วยล่ะ) แสดงได้น่าติดตามมาก ๆ รู้สึกเหมือนมีมนต์สะกดให้ตาอยู่กับจอตลอดเลย คือไม่เป็นอันได้ละสายตาเลย


สรุปว่าเป็นหนังที่ดีมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าใครชอบดูหนังเครียด ๆ หนังเรื่องนี้สุดยอดมาก ๆ แต่ถ้าชอบดูหนังเฮฮาเบาสมอง แนะนำว่าอย่าไปดูเลย หนังเรื่องนี้ไม่เบาสมองหรอก เพราะหนังจบคนดูมันจะยังไม่จบเอาน่ะ(หรือว่าเราอินไปวะเนี้ย)

แถมนิดนึง ที่ดูแล้วสงสัยคือเวลาเค้าส่งรหัสกันเนี่ย มันทำได้อย่างที่เค้าแสดงกันจริงๆ เหรอเนี่ย ถ้ามันทำได้อย่างนั้นนี่ อยากเรียนส่งรหัสเลยว่ะ มันเท่ห์ดีจริง ๆ สามารถคุยกันได้มากมายสารพัดวิธี แค่ทำไม้ทำมือกันจึ๊ก ๆ จึ๊ก ๆ ก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว มีเย็บผ้าส่งข้อความกันได้อีก คนส่งเย็บผ้า คนอ่านเอามือรูดไปตามแนวเย็บแล้วข้อความก็เข้าสมองไปเลย สุดยอดจริงๆ เลย เห็นแล้วประทับใจมาก


คะแนนเลยดีกว่า 9.5/10 หักครึ่งคะแนนตรงดูดบุหรี่กันซะควันเต็มจอ ทั้งชายทั้งหญิง แถมทั้งเรื่องอีกต่างหาก แต่ก็เข้าใจนะว่าคนมันเครียดจะให้เล่นหมากเก็บก็คงไม่เหมาะ กะอีตอนเอานางเอกไปรูดบนเชือกนี่ละโว้ย แทบอยากเข้าไปในจอแล้ว ชัวะชะทหารแม่งญี่ปุ่นซะ ทำกับคนสวยงี้ได้ไงวะ

จบดีกว่า มีอารมณ์ร่วมมากเกินไปแล้ว

กะลาน้อย